top of page

สวัสดีชาวเม่น

ผมไม่ค่อยแน่ใจนักว่าอยากเขียนอะไรให้ทุกคนอ่าน แต่ผมรู้ว่าในนี้คงมีคนที่สนใจวรรณกรรมกันพอสมควร งั้นผมขอเล่าเรื่องแล้วกันนะครับว่าเริ่มมาอ่านวรรณกรรมจากตรงไหน คงไม่ถึงกับอธิบายอย่างชัดเจนในรายละเอียด เพราะเรื่องคง เอ่อ ขอผมนึกดูก่อนสักพักนะครับ... ครับ เริ่มเล่ากันดีกว่า เท่าที่ความทรงจำจะอำนวย เล่มแรกเป็นหนังสือเด็ก ชื่อซีรีส์ The Five Find-Outers and Dog ของ Enid Blyton ที่บ้านผมมีอยู่สองเล่มจากคอลเลคชันของมัน 15 เล่ม ตอนเด็กจำได้ว่าอยากสะสมให้ครบมากๆ แต่หลังจากอ่านคดีเล่มที่สองจบ(เป็นหนังสือก๊วนเด็กสืบสวนหาคนร้าย) ความอยากได้เล่มที่สามก็ซาลง สันนิษฐานจากความรู้สึกที่หลงเหลือถึงตอนนี้อาจเป็นเพราะคดีแรกที่ผมอ่านอย่างละเมียด(อ่านแบบท่องคำ)ละไมจนจบนั้นสนุกกว่าคดีที่สอง ผมในตอนเด็กอาจคิดว่าถ้าซื้อเล่มที่สามมาคงนั่งอ่านแล้วมึนงงกว่าแน่ พาลขี้เกียจเลยขอลา เล่นเกมดีกว่า ผมจึงเก็บหนังสือที่สองเข้าตู้ที่มีเล่มแรกอยู่ แล้วเดินไปขอแม่เล่นเกม...


ครับ ตอนเด็กจบไป จู่ๆสมองก็อยากให้เขียนถึงช่วงมัธยมปลาย (ขอโทษทีนะครับที่ข้าม) เล่าเลยว่าตอนนั้นผมชอบงานพี่คุ่น ปราบดา ผมมีโอกาสจับเรื่อง 'ความน่าจะเป็น' มาอ่านก่อนเพราะเป็นหนังสือของห้องสมุดประชาชนที่ตั้งติดกับโรงเรียน และเป็นหนังสือที่มีครั้งที่ตีพิมพ์ไม่น้อย ผมอยากอ่านอะไรที่มันฮิตบ้านฮิตเมืองเลยจับเล่มนี้มาอ่านดู พี่คุ่นถือว่าทำให้ผมได้รู้จักกับหนังสือแปลกๆ(ที่ไม่เคยคิดจะอ่าน)ตามหลังมาอีกมากมาย ความสนุกที่ผมได้มามันเฉพาะตัวเหลือเกิน จนหนังสืออีกเล่มของพี่คุ่นมาตกอยู่ในมือ เท่าที่นึกออกที่อ่านช่วงนั้นคือ 'ฝนตกตลอดเวลา' จากนั้นหนังสือแปลกๆ(เริ่มคิดจะอ่านอย่างจริงจังแล้วครับ) ก็พากันแห่เข้ามาในชีวิตผม

เล่มแล้วเล่มเล่า

เข้ามาเหมือนคลื่นโถมตัวหาฝั่งระลอกหนา

ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย...


มันพัดเอาสิ่งแปลกปลอมในโลกใบนี้เข้าจู่โจมสมอง บางครั้งหลงทิศหลงทาง อ่านจบแล้วเดินต่อไม่ถูก ไม่รู้ว่าทางไหนที่ควรไป ได้แต่ยืนคอยให้คลื่นหนังสือลูกต่อไปเข้ามาซัด ซัด ซัดจนตื่นจากอะไรบางอย่าง จนความเค็มของคลื่นเข้าปาก (หรือบางทีน้ำลายหยดลงบนกระดาษเสียเอง) ซึ่งคลื่นหนังสือที่ว่าก็เข้ามาซัดตัวเรา, ยืนอยู่บนเกาะร้างของตัวเอง รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ บางคราวมันพัดเอาซากสัตว์โลกมาให้ดูเล่นๆ หรือซากเรื่องราวของมนุษย์มาให้คิดถึง มีบ้างที่เป็นซากขวดที่แปะป้ายไว้ว่าเก็บน้ำตาอยู่ (เคยไม่เชื่อจึงพยายามแกะฝาขวดออกแต่ไม่สำเร็จ) กระทั่งซากแผ่นโฆษณาครีมพอกความสุขลบรอยทุกข์ ซากที่ได้มาจากคลื่นที่โหมโรมรันล้วนกองอยู่บนเกาะร้าง บางซากเก็บไว้เผื่อต้องใช้มันทำประโยชน์ต่อไป บางซากก็กลัวมากจนไม่อยากเข้าใกล้อีก ปล่อยเอาไว้อย่างนั้น บางคราวคลื่นหนังสือก็โตใหญ่กระทั่งกลืนทั้งเกาะร้างจมหายไป พาให้คิดว่า ว้า เราหายไปจากโลกนี้แล้ว ลาก่อน แต่แล้วอยู่ดีๆ ก็กลับรู้สึกถึงชีวิตที่อยู่บนอวกาศ ไม่ใช่ว่าเรามีร่างกายอยู่ในอวกาศ แต่เป็นอีกชีวิตที่เรากำลังเฝ้าดูอยู่ต่างหาก ที่ทำให้รู้สึกถึงความมีตัวตนของเรา...โอ้ บนดวงดาวที่ไร้แสงในตัวเอง มีเด็กผมสีทองอาศัยอยู่ เรามองดูเขาดำเนินเรื่องราว ต่อไปและต่อไป คอยคิดตามความคิดของเขา สะกดรอยตามเขาไปยังดาวดวงอื่นๆ นานนักจนเราเองเผลอผล็อยหลับไป ไม่ทันร่ำลาเพื่อนต่างดาว

ตื่นมาบนเตียงนอนที่บ้านตัวเอง

บนโลกที่ตอนเช้าต้องลุกไปทำงานอีกครั้ง


ครับ สุดขอบจินตนาการจะไปถึง ผมยังรอคลื่นหนังสือลูกต่อไป พาผมเดินทางไปที่ใดที่หนึ่งอยู่เสมอ โดยไม่ห่วงว่าจุดหมายจะอยู่ที่ใด ใครพาผมไปผมก็พร้อม เผื่อวันหนึ่งได้เดินทางไปถึงชุมชนที่เขารับคลื่นหนังสือในทางอื่นที่ไม่ใช่คลื่นเค็มๆอย่างที่ผมเคยชิม เพียงคิดก็หวานชื่นใจ

อ่านต่อไป .

Comments


Recent Posts
Archive
Search By Tags
Follow Us
  • Facebook Basic Square
  • Twitter Basic Square
  • Google+ Basic Square
bottom of page