สิเหร่
‘สิเหร่’ เป็นนามปากกาของจิระภัทร อังศุมาลี เขาเกิดที่จังหวัดภูเก็ต นามปากกา ‘สิเหร่’ ได้มาจากชื่อเกาะเล็กๆ เกาะหนึ่งที่ติดกับเกาะภูเก็ต ญาติมีที่ดินอยู่ริมทะเลเป็นสวนยาง ตอนเด็กๆ เคยสร้างกระต๊อบอยู่บนเนินผา เหมือนนิยายเรื่องโลกียชนของ จอห์น สไตน์เบ็ค
บุปผาชน
‘สิเหร่’ เป็น ฮิปปี้กลุ่มแรกๆ ในเมืองภูเก็ต เขาไว้ผมยาว หนวดเครารุงรัง ชอบแต่งชุดดำ คนจีนในภูเก็ตช่วงนั้นเป็นสังคมอนุรักษ์นิยม ยึดถือธรรมเนียมเก่าอยู่มาก เวลาเดินเที่ยวในเมือง ก็จะถูกมองด้วยแววตาเหยียดหยาม คงเป็นเพราะผู้ชายคนแรกๆ ที่ไว้ผมยาวไม่โกนหนวดเครา แล้วคงท่าทางกวนตีนด้วย เรื่องก็เลยไปกดดันกับคุณแม่ที่รับราชการ คล้ายทำไมไม่ตักเตือนลูกชาย แม่ตอบว่า คุณก็ไปบอกมันเองสิให้ตัดผมโกนหนวด ฉันไม่เกี่ยว สิเหร่ก็เลยกวนตีนหนักขึ้น ไปงานศพสวมเสื้อใส่เสื้อยืดสีสด ไปงานแต่งใส่เสื้อผ้าดิบกางเกงดำไปเลย มันดี
อายุยี่สิบกลางๆแล้ว ชอบวิถีของฮิปปี้มาก มีหนังของปีเตอร์ ฟอนด้ากับเดนนิส ฮอบเปอร์เรื่อง Easy Rider สร้างปี 1965 อยากดูมาก แต่เมืองไทยห้ามฉาย จนกระทั่งไปปารีสปี 1981 หนังเรื่องนี้ยังฉายอยู่ในโรงแถงมองต์มาต ดีใจมากเลย เลยรีบเข้าไปดูเลย มันสุดยอดหลังรอคอยมา 10 ปี หนังอีซี ไรเดอร์นี่แหละ ทำให้สิเหร่ขี่มอเตอร์ไซด์คนเดียวท่องจากภูเก็ตลงไปเปตอง
ช่วงปี 1981 คือช่วงที่ใช้ชีวิตเดินทางยาวนาน เริ่มจากไปหาเพื่อนที่โตรอนโต แล้วเราก็ขับรถเข้าเควเบก มอนทรีออล เซ็นต์จอหน์ ไต่ไปตามเทือกเขาแอปปาเรเชี่ยน จากนั้นบินมาปารีส ใช้ชีวิตที่นี่เป็นจุดหาเงิน ด้วยการวาดาพเหมือนนักท่องเที่ยวหน้าพิพิธภัณฑ์จอร์จปอมปิดู พอได้เงินสักก้อน ก็ซื้อตั๋วรถไฟท่องไปตามเมืองต่างๆในยุโรป จำได้ว่าเข้ามืดวันนึง รถไฟถึงสถานีที่แฟรงค์เฟิร์ต เรารอให้สว่าง นั่งบนม้ายาวในสถานี มีกลุ่มคนหนุ่มสาวสี่หรือห้าคนนั่งอยู่ตรงร้านกาแฟที่มีเก้าอี้นั่งนอกร้าน ตอนนั้นหดหู่ แล้วเหงาจับใจลึกๆ เพราะส่วนใหญ่ที่ผ่านมาจะท่องไปคนเดียว เลยเขียนจดหมายถึงเพื่อนบางคนที่กรุงเทพ ตอนเขียนน้ำตาแม่งหยดลงบนกระดาษ เพิ่งรู้สึกว่า ตัวเองไม่ใช่นักเดินทางแท้จริงอีกแล้ว ดีที่พวกเขาเข้ามาทักทาย ผู้หญิงในกลุ่มถามว่า นายร้องไห้เหรอ เราก็อาย แต่ก็คุยกันสนุก พวกเขาชวนไปพักด้วย ก็เลยหายหดหู่ไปช่วงหนึ่ง พอกลับมาปารีส เย็นวันนึงยืนบนดาดฟ้าจอร์จ ปอมปิดู พระอาทิตย์กำลังตก จำได้ตอนนั้นตัวสั่น แล้วร้องไห้ ต้องเดินหลบออกไป มันเหงาสัตว์เลยละ รู้เลยว่าความเหงาจริงๆนั้นมันเป็นยังไง เลยตัดสินใจกลับกรุงเทพ
ไปทรานไซบีเรีย ไปช่วงปลายปี 1986 เป็นการเชิญของบริษัทท่องเที่ยว มีเปลว สีเงินร่วมอยู่ด้วย ไปกันแค่สามคนกับแล้วมีไกด์รัสเซียเป็นคนรับผิดชอบตลอดการเดินทางจนกว่าจะออกจากรัสเซีย ช่วงนั้นกอร์บาชอฟเพิ่งเป็นประธานาธิบดี รัสเซียยังไม่ถึงกับเปิดประเทศ เส้นทางจากมอสโค ไปจบที่อีร์คูส เมืองที่มีทะเลสาปไบคาน จากนั้นขึ้นรถไฟแยกจากเส้นทรานไซบีเรียเข้ามองโกลเลีย แล้วไปจบที่ปักกิ่ง ก่อนจะนั่งรถไฟต่อไปยังกวางโจว แล้วสิ้นสุดที่ฮ่องกง นั่งสายไซบีเรียไม่ยาวนักหรอก เพราะทรานไซบีเรียเต็มต้องจากเซ็นปีเตอร์เบร์กไปสุดวลาดิวอชสต็อค ต้องนั่งรถไฟสมัยนั้น 6 คืนครับ
สั่งซื้อหนังสือ: ผีเพลง