Liverpool v Brighton 1-0
คุยกันหลังเกม
ลิเวอร์พูล 1 - 0 ไบร์ทตัน
เกมพรีเมียร์ลีกนัดที่ 3
สนามแอนฟิลด์
ฤดูกาลที่ผ่านมา: Liverpool 4 Brighton 0
ผู้ตัดสิน: Chris Kavanagh
สถิติก่อนเกม
ลิเวอร์พูล ไม่แพ้ตลอด 7 เกมที่เจอกับ ไบร์ทตัน ในทุกรายการ และชนะได้ถึง 5 เกมด้วยกัน
ครั้งล่าสุดที่ ไบร์ทตัน ชนะ ลิเวอร์พูล ที่ แอนฟิลด์ ได้ต้องย้อนกลับไปถึงปี 1982 หรือ 36 ปีมาแล้ว
ไบร์ทตัน ทำเข้าประตูตัวเองถึง 3 ประตูจาก 3 เกมหลังสุดที่เจอกับ ลิเวอร์พูล
ลิเวอร์พูล ไม่แพ้ที่ แอนฟิลด์ มาแล้ว 22 นัดรวดในการเล่นบนศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ นับตั้งแต่แพ้ คริสตัล พาเลซ 1-2 ช่วงเดือนเมษายน 2017
ถ้าพวกเขาไม่เสียประตูวันนี้จะถือเป็นการเก็บคลีนชีท 7 เกมรวดใน พรีเมียร์ลีก และจะเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ กุมภาพันธ์ 2007 ยุคของ ราฟาเอล เบนิเตซ
ลิเวอร์พูล เป็นทีมเดียวที่ยังไม่เสียประตูในฤดูกาลนี้ และในเกมลีก 5 นัดหลังสุดพวกเขาโดนยิงแค่ลูกเดียวเท่านั้น
ไบร์ทตัน ชนะแค่ 2 เกมเท่านั้นจาก 11 เกมหลังสุดใน พรีเมียร์ลีก (เสมอ 3 แพ้ 6) ซึ่ง 2 เกมที่ชนะชั้นคือการเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทั้งหมด
ไบร์ทตัน ไม่ชนะเกมนอกบ้านมาแล้ว 14 นัดติดในลีกสูงสุด (เสมอ 4 แพ้ 10)
คริส ฮิวจ์ตัน แพ้ถึง 12 เกมในการเยือนทีม Top 6 ยิงได้ 3 ประตูและโดนอัดไป 38 ประตู และที่สำคัญ ฮิวจ์ตัน คุมทีมเจอ ลิเวอร์พูล มาแล้ว 5 ครั้งใน พรีเมียร์ลีก และแพ้ทุกเกม เสียประตูอย่างต่ำ 4 ลูกทุกเกม
Lineups
Liverpool XI: Alisson, Alexander-Arnold, Gomez, Van Dijk, Robertson, Milner, Wijnaldum, Keita, Salah, Mane, Firmino
Substitutes: Mignolet, Henderson, Sturridge, Moreno, Lallana, Shaqiri, Matip
Manager: Jurgen Klopp
Brighton XI: Ryan, Montoya, Duffy, Balogun, Bong, Knockaert, Stephens, Propper, March, Bissouma, Murray
Substitutes: Button, Bernardo, Suttner, Jahanbakhsh, Kayal, Gross, Locadia
Manager:
คุยกันหลังเกม
พรีเมียร์ลีกนัดที่สามของลิเวอร์พูลเป็นการเปิดบ้านสนามแอนฟิลด์รับการมาเยือนของไบร์ทตัน ซึ่งนัดก่อนหน้านั้นพวกเขาเอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปแบบพลิกล็อคเมื่อสัปดาห์ก่อน ด้วยสกอร์ 3-2 ประตู และดูเหมือนว่าทีมนกนางนวลจะพกความมั่นใจมาเยือนแอนฟิลด์และหวังว่าจะมีแต้มกลับไปจากสนามแห่งนี้ แม้ว่าฤดูกาลก่อนพวกเขาจะมาเสียถึงสี่ประตูที่นี่
ส่วนลิเวอร์พูลยังคงใช้ผู้เล่นชุดเดิมลงสนามแม้คล็อปป์จะให้สัมภาษณ์ในวันแถลงข่าวว่าเขาอาจจะเปลี่ยนแปลงผู้เล่นบางตำแหน่ง แต่สุดท้ายก็ยึดสิบเอ็ดตัวจริงเดิมจากนัดที่ผ่านมา
ลิเวอร์พูลยังคงยึดแผนการเล่นในระบบ 4-3-3 โดยแผงหลังตรงกลางคือฟานไดจ์คอยเก็บกวาดลูกโยนไกลแนวลึก ส่วนโกเมซคอยไล่บอลปิดช่อง และทำลายจังหวะคู่แข่ง ไวนัดล์ดุมเป็นตัวเชื่อมเกมระหว่างแดนหลังไปสู่แดนหน้า มิลเนอร์เป็นกองกลางแดนขวา รต่อบอลเชื่อมกับอาร์โนลด์ และซาลาห์ ที่อยู่ทางด้านปีกขวา ส่วนด้านซ้ายมีเคียต้า โรเบิร์ตสัน และมาเน่ เฟอร์มิโน่เป็นกองหน้าตัวต่ำ โดยทั้งสามตำแหน่งแดนหน้าพวกเขาพยายามสลับกันเพื่อสร้างความพะวักพะวงให้กับกองหลังที่ถูกเน้นมาให้จับตาย
ไบร์ทตันนัดนี้วางแผงกองกลางถึงห้าตัว กองหลังสี่ และทิ้งให้เมอร์เรยืนค้ำอยู่ระหว่างกองหลัง
ต้องบอกว่าไบร์ทตันทำงานกันได้ดีมาก พวกเขาวางรถบัสเอาไว้สองค้น คันแรกคันใหญ่ที่กลางสนาม และเล่นด้วยระเบียบวินัยอย่างชัดเจน รถบัสคันที่สองซึ่งเล็กกว่าจะวางเอาไว้ตรงหน้ากรอบประตู นั่นหมายความว่าพื้นที่แดนกลางและแดนหลังของพวกเขาถูกวางออกเป็นโซน หลายครั้งที่พวกเขาเขารุมสกัดบอล ซาลาห์ มาเน่ และฟีร์มิโนจะโดนโดดเดี่ยวราวเข้าไปติดกับดักมรณะ หากใครจะเจาะเข้ามาจะต้องใช้ทั้งความเร็วและความแม่นยำเท่านั้น เพราะหากไม่ พวกเขารอจ้องที่จะสวนกลับโดยออกบอลไปยังปีกทั้งสองข้าง หรือให้เมอร์เรเป็นตัวเก็บบอล แล้วส่งให้ปีกก่อนโยนบอลเข้ามาในบริเวณกรอบจุดโทษ แล้วจากนั้นก็…โป๊เชะ…
ลิเวอร์พูลใช้วิธีการต่อบอลสั้นจากแดนหลังเพื่อทำเกมรุก ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาเจาะรถบัสสองชั้นได้ยากจริงๆ แต่ก็ไม่ได้เร่งเกม หรือดันเกมเพื่อบุกอย่างบ้าคลั่ง กองกลางถ่ายบอลหาช่องอย่างอดทน เรียกได้ว่าถ้าไม่มั่นใจที่จะเจาะเข้าไปก็ต้องส่งบอลกลับ หรือขวางบอลไปมาสองฝั่ง ซึ่งแน่นอนมีจังหวะที่เคียต้าทำพลาดอยู่บ้าง แต่ฟานไดจ์ โกเมซ รวมถึงไวนัจดุมช่วยกันเคลียร์บอลพ้นเขตอันตราย จนะกระทั่งมาเน่มีโอกาสจากซาลาห์ส่งเข้ามากลางประตู แต่มาน่ยิงออกนอกกรอบ และอีกจังหวะที่โรเบิร์ตสันสามารถโยนจากปีกซ้ายเข้ามากลางประตูฟีร์มิโน่วิ่งจากแถวสองเข้าโหม่งกดลงพื้นเกือบเป็นประตูแต่ไรอันผู้รักษาประตูไบร์ทตันพุ่งปัดออกไปได้ ปฏเสธลูกยิงของดาวเตะแซมบ้า ซึ่งดูเหมือนจังหวะนี้จะเป็นเพียงจังหวะเดียวที่ลิเวอร์พูลสามารถโยนเข้ามาสร้างความหวาดเสียวให้แก่แผงหลังนางนวลได้ รวมถึงจังหวะที่ลิเวอร์พูลได้ลูกโทษนอกเขต และอาร์โนลด์ซัดชนคานกระเด้งออกมา จนกระทั่งกองหลังของนางวลเล่นพลาดสั้น เจมส์ มิลเนอร์ที่จ้องอยู่แล้ววิ่งเข้าใส่เพื่อแย่งบอล บอลทะลักมาเข้าทางมาเน่ที่หน้าเขตโทษ ชิ่งจังหวะเดียวให้ฟีร์มิโนถวายพานต่อไปยังซาลาห์ซัดด้วยเท้าซ้ายเล่นทางอย่างคมกริบ บอลฉีกหนีมือผู้รักษาประตู แต่เบียดเสาไกลเข้าไปตุงตาข่ายอย่างงดงาม ลิเวอร์พูลนำ 1-0
ครึ่งหลังไบร์ทตันเริ่มทำเกมรุกมากขึ้น เพื่อหวังทวงประตูคืนให้เร็ว และเล่นเพรสซิ่งตั้งแต่แดนของลิเวอร์พูลอย่างหนัก โดยเปอร์เซ็นต์การครองบอลช่วงสิบนาทีแรกของครึ่งหลัง นาทีที่ 66 คล็อปป์ก็ต้องเปลี่ยนเคียต้าออกแล้วส่งกัปตันหมายเลขหนึ่งลงมานั่นคือเฮนโด้ ลงมาแทนในตำแหน่งของดุม เชื่อมเกมจากหลังไปห้า สถิติของเฮนโด้รู้ดีอยู่แล้วในเรื่องการส่งบอลที่แม่นยำและสำเร็จ จึงทำให้ดุมที่นัดนี้เล่นได้อิสระมากขึ้น ทั้งการไล่บอลและส่งบอล
นาทีที่ 80 แดเนียล สเตอร์ริดจ์ก็ลงมาแทนมาเน่ ซึ่งเขาก้ทำได้ดี ริดห์เก็บบอลจากกองกลางและสามารถเลี้ยงจี้เข้าไปที่หน้าประตูของไบร์ทตันได้ดี ครึ่งหลังลิเวอร์พูลยังไม่สามารถเพิ่มสกอร์ได้ นั่นหมายความว่าแรงกดดันที่จะรักษาผลการแข่งขันนั้นเริ่มจะวิกฤติ ถ้าลองนึกถึงฤดูกาลก่อน ถ้าเราโดนโยนจากปีกเข้ามามากๆ กองหลังและผู้รักษาประตูก็มียุบได้เสมอ แล้วอาจจะเสียแต้มสำคัญไปโดยไม่น่าเสีย
แต่ปีนี้เรามีอลิซงซึ่งยืนคุมเสา และเล่นลูกบนพื้นได้ดี และยังโชวฟรอมเซฟลูกที่ไดจ์โหม่งพลาด และบอลลอยเข้าหัวของไบร์ทตันพุ่งเข้ากรอบ ทว่าอลิซงพุ่งปัดออกไป ปฏิเสธการเสียประตูอีกครั้ง แม้ว่านายทหารทีมชาติบราซิลจะแข็งแกร่งดังภูผาเห็น เขาเล่นลูกหวาดเสียถึงสองจังหวะนั่นคือจังหวะที่เขากระดกบอลข้ามหัวผู้เล่นไบร์ทตัน และอีกจังหวะที่เขาพยายามแตะหลบเมอร์เรที่พุ่งเข้าเพรส แต่บอลลั่นจนเขาต้องล้มตัวกวาดบอลทิ้ง
นาทีท้ายลิเวอร์พูลส่งมาติปลงมาแทนอาร์โนลด์ที่โดนใบเหลือง มาติปลงมาเพื่อปิดเกมโยนลูกยาวของไบร์ทตัน และหมดเวลาลิเวอร์พูลชนะไปด้วยประตู 1-0 เก็บสามแต้มรวดและสามคลีนชีตในฟโูกาลใหม่
หลายคนมองว่าสามประสานแดนหน้าของเราฟรอมตก
ลองมาดูสถิติทั้งสามนัดของพวกเขากัน
มาเน่ ยิง 3 ประตู
ซาล่าห์ ยิง 2 ประตู จ่าย 1 ครั้งให้เพื่อนทำประตู เรียกจุดโทษ 1 ครั้ง
ฟีร์มิโน่ จ่าย 2 ครั้งให้เพื่อนทำประตู
ถ้าฟอร์มดีตามสายตาแฟนๆ เป็นไปได้ว่าฤดูกาลนี้มีการทำสถิติใหม่แน่นอน
แล้วเพื่อนๆ คิดเห็นอย่างไรกับเกมนี้บ้างครับ
Match stats
ข้อมูลจากออปต้า (OPTA) แสดงให้เห็นว่าไวจ์นัลดุมจ่ายบอลไม่พลาดแม้แต่ครั้งเดียวจนถึงนาทีที่ 80 ของการแข่งขัน ในเกมที่หงส์แดงเก็บชัยชนะจากประตูของโมฮาเหม็ด ซาลาห์ ในครึ่งแรก
เจ้าของเสื้อเบอร์ 5 จ่ายบอล 76 ครั้งในเกม มีความแม่นยำ 98.7 เปอร์เซ็นต์ และบอลกว่าครึ่งที่เขาจ่ายบอลในแดนของไบรท์ตัน มีความแม่นยำ 100 เปอร์เซ็นต์
เขาจับบอลรวม 93 ครั้ง แย่งบอลตัวต่อตัว 12 ครั้ง เข้าสกัด 3 ครั้ง ตัดบอลได้ 1 ครั้ง และบล็อกได้ 1 ครั้ง ขณะที่ไม่มีนักเตะคนใดในสนามถูกทำฟาวล์มากกว่า (4 ครั้ง)
Comments