เสี้ยวที่หนึ่งของวาววิโรจน์
“เล่าเรื่องบ้านให้ฟังหน่อย”
.
“บ้านหลังไหนล่ะ”
.
“มีหลายหลัง?” คู่สนทนาถาม “งั้นเอาหลังไหนก็ได้”
.
รอยยิ้มของวาววิโรจน์เวลานั้นช่างอ่อนจางเหมือนแสงจันทร์ เขาเลือกจะเล่าเรื่องบ้านสวนของตาที่จังหวัดร้อยเอ็ด หมุนเข็มทรงจำให้ย้อนกลับไปยังวัยเยาว์
.
“กาลครั้งหนึ่ง…” วาวเริ่มเรื่องด้วยวลีคลาสสิค เขาหันมองรณพร นัยน์ตาสีจางอ่อนวาววับวับวาว ชายหนุ่มเอ่ยว่าทรงจำแต่ละก้อนเท้งเต้งอยู่ในช่วงฤดูร้อน ไม่มีฤดูอื่นใดเจือปน เพราะแม่จะพาเขามาเยี่ยมตาแค่ตอนปิดเทอม ทิ้งเขาไว้ที่นั่นจนไอร้อนเคลื่อนผ่านจึงกลับมารับ เขาไม่งอแงแม้แต่ครั้งเดียว เป็นแม่เสียอีกที่งอนว่าทำไมถึงติดคุณตามากกว่า
.
เหตุผลง่ายๆ เด็กชายวาววิโรจน์ชอบวิ่งเล่นในสวนมะขามกว้างใหญ่ของตา มีไอ้แรมโบ้หมาไทยหลังอานวิ่งเป็นเพื่อน ยิ่งพอเข้าแก๊งกับเด็กแถวนั้นได้ยิ่งสนุก วิ่งเล่นสลับกระโดดน้ำคลองกันตูมๆ จนผิวไหม้ เจ็บหลังนอนไม่ได้ก็ต้องทน ตาเคยบอกว่า ‘ต้องทน เอ็งเลือกทะโมนเองก็ต้องทน’
.
วาวเป็นเจ้าของทรงจำแสนสุขสักห้าฤดูร้อนได้ กระทั่งฤดูร้อนครั้งที่หก แม่จับวาวแต่งดำทั้งตัว ขึ้นรถทัวร์จากหมอชิตใหม่ไปยังร้อยเอ็ด ระหว่างทางแม่ดูเหม่อลอย วาวถามอะไรก็ตอบรับแค่ ‘อืม...ลูก อืม ครับ’ จนเด็กชายผู้ไม่เข้าใจอะไรเลยต้องยอมนั่งจมเบาะเงียบๆ นึกจินตนาการถึงเกมโปลิศจับขโมยที่ใช้ฝักมะขามใหญ่แทนปืน ถึงการแข่งหาเข็มสี่กลีบพร้อมดูดน้ำหวานจากเกสร ถึงการเก็บแมลงประหลาดมาเลี้ยงในกล่องไม้ขีด ถึงการขี่จักรยานหาพงต้อยติ่ง
.
และถึงบ้านต้นไม้ที่ตาสัญญาว่าจะช่วยกันสร้าง
.
มนุษย์ใช้เวลาเก้าเดือนในท้องแม่ ประมาณสิบสองถึงสิบห้าปีเพื่อเข้าวัยเจริญพันธุ์ ยี่สิบปีในการกรีดร้องก่นด่าโลก สามสิบถึงสี่สิบปีเพื่อสร้างหลักฐานให้ครอบครัว ห้าสิบจวบเจ็ดสิบปีในการปลงสังขาร
.
ทว่าสำหรับความตาย...มันขอเวลาเพียงเศษเสี้ยวของวินาที
.
หลังจากนั้นเป็นเรื่องของผู้ที่ยังอยู่
.
สิบเอ็ดชั่วโมงบนรถทัวร์ เจ็ดวันสำหรับสวดอภิธรรมศพ สามชั่วโมงสำหรับจับจ้องควันจากปล่องเมร วาวรู้ คุณตาไม่อยู่แล้ว ซึ่งเท่าที่สามารถรื้อฟื้นความรู้สึกได้ เขาไม่เสียใจแต่กลับเสียดาย ไม่มีแล้วบ้านต้นไม้อย่างที่หวัง วาวสนใจเพียงเรื่องตัวเอง เขายังวิ่งเล่นรอบวัดแก้เบื่อเสียด้วยซ้ำ เด็กก็คือเด็ก ความตายดูเป็นอะไรที่แปลกหน้าและห่างไกลเหลือเกิน
.
ผิดกับแม่
.
แม่พูดน้อยเท่าน้อย แต่ก็มีผู้คนเวียนมาพูดคุยกับแม่มากเหลือเกิน แม่กวักเรียกวาวเป็นระยะ บอกให้สวัสดีป้ากับน้า ตอนนั้นเขาไม่รู้ว่าป้ากับน้าแปลว่าอะไร ครอบครัวของวาวมีแค่แม่ เขา และตา ไม่เฉลียวใจเลยว่าแม่ก็มีพี่สาวกับน้องชายด้วย ทั้งคู่มองวาวเพียงแวบเดียว ก่อนจะกลับไปพูดคุยจริงจังเกี่ยวกับบ้านสวนของตา
.
ฤดูร้อนถัดมา เด็กชายวาววิโรจน์ไม่ได้กลับไปวิ่งเล่นในสวนมะขาม เช่นเดียวกับฤดูร้อนครั้งถัดไปและถัดไป
.
“ภาคบ้านสวนของตา...จบบริบูรณ์” วาวเอ่ยเสียงนุ่ม “ช่วงนั้นพี่ได้ออกไปทำสวนกับตา มาถามตอนนี้ไม่น่านึกรายละเอียดพวกวิธีการทำสวนออกแล้ว จำได้แต่คุณตาชวนชิมนู่นชิมนี่ ตั้งแต่ใบมะขามอ่อน ผักสวนครัวอย่างผักชีฝรั่ง...เคยเห็นไหมที่ขอบใบจะเป็นฟันเลื่อย พวกอาหารเวียดนามต้องมีแนม เทียบความหอมพี่จะชอบผักชีลาวมากกว่า มีแค สะเดา พริกก็ยังเด็ดชิม มันดีมาก พี่ชอบต้นไม้ ชอบเอกลักษณ์เฉพาะของมัน กลิ่น รสชาติ สัมผัส หน้าบ้านมีราชพฤกษ์เรียงกันเป็นแถบด้วย อีสานเขาเรียกคูน ในกรุงเทพฯ ก็มี ถ้าขับรถผ่านจะชี้ให้ดู”
.
สายตาของวาววิโรจน์ลอยละล่องอยู่ในมวลบรรยากาศของอดีตกาล บางครั้งชายหนุ่มก็สงสัยว่า บ้านของตาสวยสดงดงามเกินจริงเพราะเขาไม่ได้ครอบครอง
ภวิล เฟย์ มีผลงานรวมเล่มกับสำนักพิมพ์ PS ในชื่อเล่มว่า Fragile : พัสดุตีกลับ ชำรุดง่าย และอาจสูญหายระหว่างทาง ก่อนหน้านั้นเธอทำหนังสือของตัวเองในแบบพิมพ์จำกัด เขียนเองขายเอง ที่เรียกกันว่าหนังสือทำมือ และยังมีผลงานเรื่องสั้นร่วมกับนักเขียนหญิงร่วมสมัยกับสำนักพิมพ์เม่นวรรณกรรม ชื่อเล่มว่า "ทำลายเธอกล่าว" เรื่องสั้นเรื่องนี้เรื่องแรกของเธอใน Porcupine Blog เล่าเรื่องความทรงจำบ้านที่ไม่ได้ครอบครอง ด้วยสำนวนการเล่าเรียบง่าย แอบซ่อนความรู้สึกตัวละครที่คล้ายอยากจะลืมความทรงจำที่ดีเกินไปของตัวเอง