มูราคามิ...ยามเช้า
เราจะมีอะไรเกี่ยวข้องกันล่ะ!
ฉันถามตัวเองทันทีที่ได้รับโจทย์มาว่าต้องเขียนอะไรก็ได้เกี่ยวกับมูราคามิที่เกี่ยวข้องกับตัวฉัน
คำตอบที่ฉันมีให้กับตัวเองนั้นง่ายมาก
เรา -ฉันกับมูราคามิ- ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกันเลย
ในฐานะคนอ่านหนังสือ ฉันไม่ใช่แฟนตัวยงของเขา แม้ว่าฉันจะติดตามหนังสือของเขาด้วยความสนใจ และชั้นหนังสือที่บ้านจะถูกจับจองพื้นที่ไปด้วยหนังสือของเขาในจำนวนที่ถือว่า "ไม่น้อยหน้า" หนังสือของนักเขียนคนอื่นๆ รวมไปถึงในช่วงแรกของกันพบกันระหว่างเรา -ฉันกับมูราคามิ- ณ ที่นั่น ในหนังสือนวนิยายของเขา ที่นอร์วิเจียน วูด (Norwegian Wood) ฉันคือใครกันนะตอนนั้น? ฉันจำตัวเองไม่ได้แล้ว จำได้แต่ความรู้สึก ณ ขณะนั้น รู้สึกว่าฉันคนนั้น ตอนนั้น ได้หลงวนเหงาเงียบไปกับชายหนุ่มของมูราคามิ ชายหนุ่มแปลกหน้าของชายหนุ่มแปลกหน้า....ของฉัน หากแต่ในเย็นยะเยียบของวงเวียนเงียบเหงานั้น ฉันก็รู้สึกได้ถึงความกระตือรือร้นของตัวเองในการออกช่วยชายหนุ่มของเขาตามหาหญิงสาวที่หายหน้าไป แล้วก็คงเป็นเท่านั้นที่ฉันเป็นได้...เป็นคนอ่านแปลกหน้า
ใช่....มันคือแค่นั้น เราแค่พบกันที่นั่น และเราต่างเดินสวนกันตรงนั้นเสมอ ตรงที่เขาเขียนและฉันอ่าน
ส่วนฉัน...ในฐานะคนอยากเขียนหนังสือ นั่นยิ่งไปกันใหญ่ ฉันสาบานได้ว่าฉันจะไม่ลากความเหงามาขึงพืดต่อหน้าคนอ่านของฉัน อย่างที่มูราคามิมักทำกับคนอ่านของเขาอยู่บ่อยๆ ฉันคิดว่าความเหงานั้นเหนื่อย ยิ่งความเหงาเงียบจากตัวหนังสือ....ยิ่งเหนื่อย
ผิดมารยาทแค่ไหนกันนะที่ฉันพูดออกมาตรงๆ อย่างนี้....แทนที่จะพูดอีกอย่าง
จริงๆ แล้วฉันพูดตรงกว่านี้ได้ด้วยนะ
ฉันกับมูราคามิ....เราคงพูดถึงกันผ่านตัวหนังสือไม่ได้ เราต่างเป็นคนแปลกหน้าของกันและกันในโลกใบนั้น แต่ก็นั่นแหละนะ โลกไม่เคยมีใบเดียวมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
และแน่นอน ตราบเท่าที่แสงแดดยังก้าวร้าวกับสนามหญ้าสีเขียวในโลกของโรงเรียนหญิงล้วนประจำจังหวัด โลกซึ่งครูพละมักพานักเรียนหญิงออกมาวิ่งรอบสนาม...สามรอบ...กลางแดดเปรี้ยง โดยไม่เคยมีคำอธิบายออกมาจากใต้ร่มไม้ที่ครูพละใช้หลบร้อนและหรี่ตาฝ่าแดดจ้าออกมาเพื่อจ้องมองการวิ่งของพวกเรา
ทำไมต้องวิ่ง? และทำไมต้องเป็นสามรอบในมรสุมเปรี้ยงๆ ของแดดล่ะ? คำถามพวกนี้ไม่เคยถูกถามมาก่อน อย่างมากมันก็แค่เคยถูกสงสัยอยู่เงียบๆ ในใจ แต่ในโลกที่ร้อนร้าวแบบนั้นนั่นแหละที่ความเหงาไม่สามารถสิงสถิตอยู่ในเหงื่อไคลที่ไหลย้อยลงมาได้...ในโลกแบบนั้นนั่นแหละที่ฉันพบมูราคามิ เขามาคนเดียว ไม่ได้พาความเหงาเงียบในน้ำเสียงของเขามาด้วย เขาปล่อยน้ำเสียงนั้นไว้ในโลกของนิยาย
ส่วนในโลกร้อนร้าวแบบนั้น มูราคามิอยู่ที่นั่นเสมอ เพราะอะไรน่ะเหรอ?
ก็เพราะฉันเกลียดการวิ่งยังไงล่ะ
"ไม่จริงหรอก เธอเกลียดการถูกบัญชาจากเบื้องบนต่างหากล่ะ อย่างที่ฉันเคยบอก การบังคับคนไม่ชอบวิ่ง บังคับคนที่อ่อนแอเกินกว่าจะวิ่ง ถือว่าเป็นการลงทัณฑ์ทรมานไร้สาระ" เสียงของเขา...มูราคามิ เสียงที่ลอดออกมาจาก "เกร็ดความคิดบนก้าววิ่ง" หน้า 56 เสียงที่ครูพละในประเทศนี้จะไม่มีวันได้ยิน เสียงนั้นแทรกฝ่าความอ่อนล้าจากการวิ่งของตัวมันเองขึ้นมา และฉันเถียงย้อนกลับไปทันที
ฉันไม่ได้เกลียดการวิ่งเพราะถูกบังคับจิตใจนะ ฉันเกลียดการวิ่งเพราะมันทำร้ายจิตใจฉันต่างหากล่ะ แม้แต่เธอเอง หรือแม้แต่โทชิฮิโกะ เซโกะ (นักวิ่งมาราธอนโอลิมปิค) ก็เถอะ พวกเธอก็ยังต้องฉุดกระชากลากถูใจของเธอให้ออกวิ่งในแต่ละวันเลย ไม่มีการวิ่งที่อยู่นอกเหนือการบังคับบัญชาหรอก ต่อให้ไม่มีครูพละอยู่ตรงนั้นก็ตาม การวิ่งของเธอก็จะบังคับตัวเธอให้ออกไปวิ่ง และฉันคิดว่าแบบนั้นยังดีกว่าเสียอีก อย่างน้อยการวิ่งของเธอก็มีเหตุผลให้กับตัวเธอว่าทำไมมันถึงบังคับให้เธอออกวิ่ง แล้วมันก็ออกวิ่งไปพร้อมกับเธอ
....ไม่เหมือนครูพละสักนิดที่มักยืนหลบความไร้เหตุผลของตัวเองอยู่ใต้ร่มไม้ ทั้งๆ ที่จัดจ้าของแสงแดดก็คือเหตุผลในตัวของม้ันเองอยู่แล้วว่าทำไมหลายคนถึงไม่มีความสุขจากการวิ่งในช่วงเวลาเช่นนั้น เพราะการวิ่งคือนิสัยติดตัวไงเล่า เธอบอกฉันเอง....อย่าลืมสิ ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่มีนิสัยชอบวิ่ง และ (ฉันว่านะ) ยิ่งไม่ใช่ทุกคนเข้าไปใหญ่ที่ชอบวิ่งกลางแดดเปรี้ยง และ (ฉันว่าอีกนะ) ยิ่งไม่ใช่ของไม่ใช่เข้าไปอีก....ที่ใครสักคนจะชอบวิ่งกลางแดดเปรี้ยงโดยไม่รู้เหตุผลของมัน
อย่างน้อยก็มีฉัน ครูพละ และหมาที่กรีซนั่นไง ที่ไม่ชอบวิ่งกลางแดดเปรี้ยง หมาที่กรีซตัวนั้นที่มันนั่งหลบแดดอยู่ใต้ร่มไม้โดยไม่ยอมกระดิกตัว มันนั่งมองเธอวิ่งผ่านมันไปในวันที่กรีซระอุอวลอบร่ำไปด้วยแรงร้อนจากเพลิงแดด เธอเรียกการวิ่งวันนั้นของเธอว่าความบ้าคลั่งเสียสติ แต่ก็อีกนั่นแหละ มันเป็นความบ้าคลั่งที่เธอเลือกเอง และฉันถือเสมอว่าอะไรที่เลือกมาเองนั้นย่อมดีงาม
มีดีงามแทรกซ่อนอยู่เสมอในการเลือก ไม่ใช่ในการบีบบังคับ
ในขณะที่เราทั้งสาม -ฉัน ครูพละ และหมาที่กรีซ- ล้วนอยากหลบแดดอยู่ในร่ม แต่โชคร้ายก็เป็นของฉันแต่เพียงผู้เดียว มีเพียงแค่ครูพละและหมาที่กรีซเท่านั้่นที่ได้หลบร้อนอยู่ในร่มนั่น และฉันสรรหาคำเรียกให้กับการฝืนวิ่งกลางแดดจ้าของตัวเองในวันนั้่นไม่ได้เลย แน่นอน ฉันคลุ้มคลั่งไปกับสิ่งที่ฉันไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไร เพราะฉันไม่ได้เลือกมันมาตั้งแต่ต้น และมันก็ทำให้สติของฉันแตกกระเจิงไปในท่ามกลางการไร้ความสามารถที่จะปฏิเสธมันด้วย
ในประเทศนี้ ไม่มีโรงเรียนมัธยมหญิงล้วนที่ไหนปฏิเสธคำสั่งของครูพละได้หรอก....ไม่มี
ฉันเกลียดการวิ่ง ทุกครั้งที่ฉันวิ่ง เสียงหัวเราะตลกขบขันของเพื่อนร่วมชั้นเรียนก็ลอยมาซ้ำเติมความเหนื่อยหอบแทบขาดใจของฉัน พวกเขาชี้ชวนกันดูท่าวิ่งของฉันและหัวเราะใส่มัน ฉันไม่เพียงแค่วิ่งได้ที่สุดท้ายของห้อง แต่ฉันยังเป็นตัวตลกของเพื่อนๆ จากท่าวิ่งของฉัน ท่าวิ่งที่ฉันเองก็ไม่เคยเห็นเลยว่าหน้าตาที่แท้จริงของมันเป็นอย่างไรกันแน่ ทำไมทุกคนถึงหัวเราะเยาะเรา -มันกับฉัน-
แล้วก็แปลกดีนะ ไอ้เจ้าท่าวิ่งที่ฉันไม่เคยเห็นมันเลยกลับทำให้ฉันรู้สึกเสียใจได้ยาวนานกว่าครึ่งค่อนชีวิต ฉันกล้าเสียใจกับสิ่งที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนได้ยังไงกัน! จริงๆ แล้วมันอาจจะเป็นท่าวิ่งที่ดีก็ได้นะ เพียงแต่พวกเขาอาจไม่ชอบมัน...แค่นั้่นเอง
แต่สิ่งเดียวที่ไม่แปลกเลย คือ อาการนิ่งเฉยของครูพละท่ามกลางเสียงหัวเราะเหยียดหยามนั่น ไม่มีห้ามปรามหรือตำหนิติเตียนใดๆ เพื่อหยุดเย้ยหยันกักขฬะนั่นในกลุ่มนักเรียนหญิง ครูพละต้องการเพียงแค่เราวิ่ง และเราต้องวิ่ง
ต่างจากเธอมูราคามิ นอกจากเธอจะไม่เคยใช้การวิ่งเพื่อทำร้ายจิตใจใครแล้ว การวิ่งเองก็ไม่เคยทำร้ายจิตใจเธอเช่นกัน ถึงแม้ว่ามันจะเขี่ยนตีร่างกายเธอหนักหนาแค่ไหนก็ตาม แม้ว่ามันจะเปลี่ยนเหงื่อของเธอให้กลายเป็นเกลือ และความเค็มของมันจะกัดกร่อนเธอซึมลึกลงไปถึงเนื้อหนังมังสา แต่ทุกความแสบปวดเหล่านั้่น...นั่นก็คือพร มันคือพรของเธอ การเขียนของเธอไม่ได้เปลี่ยนความทุลักทุเลของการวิ่งให้กลายเป็นพร แต่เป็นการวิ่งของเธอต่างหากที่กลายเป็นพรให้กับการเขียน สำหรับฉันแล้ว เธอไม่ได้เขียน แต่เธอวิ่ง และพรดีๆ ก็มักจะรอเธออยู่ที่นั่นเสมอ
จริงอย่างที่มูราคามิบอก ในโลกของการวิ่งที่เราเลือกเอง มันคือห้วงสุญญากาศว่างเปล่า ที่มีแต่นักวิ่งเท่านั้นที่จะเติมอะไรลงไปก็ได้....ตามอำเภอใจ
ฉันผ่อนฝีเท้าจากการวิ่งลงจนเกือบเป็นการเดิน เหงื่อแตกพล่านในแสงอ่อนโยนของแดดเช้า นึกสงสัยไปตลอดทางว่าจะมีนักเขียนสักกี่คนกันนะที่เขียนจนคนอ่านของเขารู้สึกอยากออกวิ่ง? และสุดท้ายก็ออกวิ่ง
สำหรับฉันแล้ว ในโลกของการวิ่งนอกบัญชาการของครูพละมันช่างว่างโล่งรื่นรมย์จนเสียงหัวเราะเหยียดหยันจากนักเรียนหญิงพวกนั้นก็มิอาจแทรกลอดเข้ามาในห้วงเวลาอันเปล่าเปลือยส่วนตัวนี้ได้...ไม่ได้เลย
ฉันเร่งฝีเท้ากลับขึ้นมาอีกครั้ง เม็ดเหงื่อกลับมาทักทายกับสายลมที่กระดิกตัวเบาๆ ผ่านฉันไปอีกรอบ และบทสนทนาระหว่างเรา -ฉันกับมูราคามิ- ก็เริ่มต้นอีกครั้ง และอีกทุกครั้ง ที่นี่....ทุกเช้า...ในการวิ่งของเรา
มัน "เป็นหนึ่งในความอภิรมย์เล็กๆ ของชีวิต" อย่างที่เขาบอก และก็อย่างที่เขาบอกอีกนั่นแหละ "หากไม่มีความหวามใจเยี่ยงนั้น ก็คงยากที่จะลุกขึ้นมาวิ่งเป็นประจำทุกเช้า"
ครูพละในโรงเรียนหญิงล้วนประจำจังหวัดของประเทศนี้คงไม่มีวันเข้าใจ -ความหวามใจเยี่ยงนั้น- ที่แทรกตัวเงียบเชียบอยู่ในการวิ่งที่เราแต่ละคนควรเป็นผู้ตัดสินใจเลือกเอง
ไม่มีความหวามใจเยี่ยงนั้นในการวิ่งใต้บัญชาการของครูพละ
ไม่มีความหวามใจเยี่ยงนั้นในชีวิตใต้บัญชาการใดๆจากใครเลย
ไม่เคยมี
โลกอีกใบของมูราคามิสะท้อนผ่านตัวหนังสือ การวิ่งกลางมรสุมแดด เสียงจากภายในเบื้องบน เฆี่ยนตีทีละน้อย
ปล.หาภาพประกอบใส่ จะทำให้การแชร์สวยงามยิ่งขึ้น :)