โปรดฟังทางนี้
เรื่องที่คุณกำลังจะอ่านเคยตีพิมพ์ในหนังสือทำมือเล่มเล็กชื่อ ’กระทำการเพียงลำพัง’
.
1.
ตีสามเจ็ดนาที
เขารู้ว่าเป็นตีสามเจ็ดนาทีตั้งแต่ยังไม่ควานหามือถือมาเปิดนาฬิกาดูเพื่อยืนยัน เขามั่นใจ ตีสามเจ็ดนาที เวลาที่เขาจะสะดุ้งตื่นสุดตัวพร้อมได้ยินเสียงตัวเองคำราม
‘อย่า’
เวลาค้างคืนที่บ้านใคร เพื่อนมัธยมยันมหา’ลัยพูดตรงกันว่าเขาคำรามว่า ‘อย่า’ ไม่รู้ว่าอย่าอะไร มันจบลงแค่อย่าเท่านั้น ไม่เคยมีคำอื่นหลุดออกมา เรื่องที่เขาสะดุ้งตื่นตอนตีสามเจ็ดนาทีและคำรามว่า ‘อย่า’ กลายเป็นมุกตลกล้อเลียนในวงเพื่อน ก่อนจะกลายเป็นหนังสั้นชื่อ ‘อย่า’ ในเวลาต่อมา หนังสั้นได้รับรางวัลเล็กๆ จากการส่งประกวดขำๆ แต่เขาไม่เคยได้รับคำตอบจากใครไม่ว่าจะขำๆ หรือจริงๆ ก็ตาม
เพื่อนบางคนบอกว่าเขาน่าจะไปปรึกษาจิตแพทย์ แต่เขาไม่ได้กระหายคำตอบขนาดนั้น นอกจากเสียเวลาสิบถึงสิบห้านาที (หรือบวกลบนิดๆ หน่อยๆ แต่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง) ที่เขาใช้เพื่อกล่อมให้ตัวเองฝันต่อ ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เขาปกติดี ร่างกายแข็งแรง ฟันไม่ผุ
จนกระทั่งวันหนึ่ง
เหมือนในบทหนังทุกบท เรื่องสั้นทุกเรื่อง เมื่อผู้เขียนตั้งใจโปรยกลุ่มคำศักดิ์สิทธิ์อย่าง ‘จนกระทั่งวันหนึ่ง’ ลงในกระดาษเสมือนขนาด A4 ในคอมพิวเตอร์แล้ว ก็หมายความว่า ต่อจากนี้ ชีวิตเรื่อยเจื้อยของตัวเอกจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป คล้ายผู้เขียนปักหมุดหมายบวกป้ายเตือนเล็กๆ ให้เตรียมใจก่อนที่เรื่องราวโค้งหักศอกข้างหน้าจะปรากฏแก่สายตา
สำหรับเขา กลุ่มคำศักดิ์สิทธิ์ ‘จนกระทั่งวันหนึ่ง’ สามารถสาวไปได้ไกลถึงวันหนึ่งในฤดูร้อนของประเทศไทยและวิชาซาวด์ดีไซน์ระดับปริญญาตรี
เขา—ผู้ปกติดี ร่างกายแข็งแรง ฟันไม่ผุ ใช้ชีวิตเรื่อยเจื้อยมาได้ยี่สิบเอ็ดขวบปี
จนกระทั่งวันหนึ่ง
2.
ตลอดชีวิตที่เขาจำได้ เขาอยู่กับแม่แค่สองคน
แม้ละแวกบ้านจะเต็มไปด้วยญาติฝ่ายแม่ แต่ในเขตบ้านสองชั้น ชั้นล่างก่อด้วยปูน ชั้นบนเป็นไม้ที่แม่รับต่อมาจากตาแห่งนี้ มีเพียงแม่และเขาอยู่กันอย่างโดดเดี่ยว นานที นานๆ ครั้ง ป้าจะเยี่ยมหน้าผ่านรั้วไม้ที่มีกระถินเลื้อยรกมาทักทายสักหน
นอกจากนี้ เวลาที่คุณครูให้เขียนเรียงความเรื่อง ‘บ้านของฉัน’ เขาไม่เคยลืมที่จะเขียนถึงสวนป่า
บ้านของเขามีลักษณะเด่นคือรอบๆ โอบด้วยสวนป่าขนาดย่อม สมัยตายังอยู่ สวนป่ามีไม้ผลและผักสวนครัวเสียมาก แต่ปัจจุบันสวนป่าอุดมไปด้วยไม้ดอกเนื่องจากแม่ชอบสรรหามาลงได้เรื่อยๆ ทั้งเฟื่องฟ้าที่ชูช่อสีบานเย็นอยู่ข้างรั้ว เล็บมือนางบุ้งเยอะ กระดังงาที่ชวนให้สับสนกับการเวกและสายหยุด พุ่มชบาหลากสี ดาหลาแอบอยู่กับพุทธรักษา พุดบานสะพรั่งคู่กับมะลิและแก้ว กระเถิบเข้ามาจนถึงระเบียงบ้านจะพบคุณนายตื่นสายในกระถางดินเผาหูลวดแขวนเล่นระดับสูงๆ ต่ำๆ บางวันก็ปลดแล้วเปลี่ยนเป็นต่ำๆ สูงๆ แบบที่แม่ชอบชมให้ตัวเองฟังว่า ‘เก๋จริ๊ง คุณนายขา’
ทั้งหมดที่เขายังสาธยายไม่หมดเป็นสมบัติหวงแหนของแม่ แม่ผู้ปากไวและใจร้อนจนไม่น่าเชื่อว่ามือจะเย็น คุณแม่บังเกิดเกล้าที่อ้างว่าดอกไม้มีพระคุณกับเขาอย่างสูงยิ่ง เพราะแม่สอนเขาอ่านกอ-อา-กาครั้งแรกก็ผ่านป้ายชื่อไม้ดอกในกระถาง ดังนั้นเขาจึงไม่มีสิทธิ์อกตัญญูผู้มีพระคุณด้วยการเมินเฉยเวลาแม่เรียกให้รดน้ำ ‘เพราะดอกไม้พวกนี้แหละเอ็งถึงไม่ต้องไปขอทานขอกินเขา’ แม่พูดกรอกหูเขาบ่อยๆ และหากเขาอิดออดแม่ก็จะขู่ ‘เดี๋ยวกูเรียกให้ผีดาหลามาหลอกเอ็งคืนนี้’ ถึงเขาจะไม่เคยได้ยินชื่อผีดาหลา แต่ก็ไม่อยากลองของ แขนผอมๆ เล็กๆ ของเด็กชายอายุสิบกว่าขวบจึงแข็งแรงกว่าใครเพราะได้ยกบัวรดน้ำอันเขื่องเป็นประจำ และแม้เขาจะโตพอที่จะไม่เชื่อเรื่องผีดาหลาที่แม่อำ บัวรดน้ำอันเดิมก็ยังถูกรดเวียนไปทั่วสวนป่า เนื่องเพราะเขารู้ดีว่าเสียงตวาดแว้ดของแม่เป็นของไม่น่าลองมากกว่าวิญญาณผีสางใดๆ เสียอีก
เขาเติบใหญ่มาด้วยสองมือเย็นๆ และหนึ่งใจร้อนๆ ของแม่ อบร่ำด้วยเสียงเพลงสุนทราภรณ์เคล้ากับเสียงก่นด่าแสบร้อนของแม่ จากเด็กชายกลายเป็นเด็กหนุ่มในวิมานสงัดเร้นหลังรั้วไม้และสวนป่า และต่อมาได้ค้นพบรสนิยมและความชอบของตัวเองหลังรั้วมหาวิทยาลัยสีชมพู คณะนิเทศศาสตร์ เอกภาพยนตร์และภาพนิ่ง เขาจำได้ แม่ผู้ไม่เคยเงียบเสียงถึงกับเงียบกริบ เมื่อเขาพาเพื่อนชายมาแนะนำให้แม่รู้จักในวันหยุดสุดสัปดาห์หลังเปิดเทอมได้ไม่นาน แต่ความเงียบนั้นยืดขยายออกไปเพียงชั่วข้ามคืน แม่กลับมาเสียงดังในเช้าวันรุ่งขึ้น เสียงเพลง ‘แรกเจอ’ ขับร้องโดยวินัย จุลละบุษปะ ดังจากไอพ็อดต่อลำโพงที่เขาซื้อให้แม่ใช้ (โดยใช้เงินแม่) แทนวิทยุที่เล่นได้แค่เทปคาสเส็ตต์ แม่สั่งให้เขาคดข้าวให้เพื่อนชายที่นั่งเกร็งอยู่หน้าโตกไม้ไผ่ ก่อนคะยั้นคะยอให้ตักแกงปลีกล้วยใส่จานที่ผัดแตงกวานอนแอ้งแม้งคู่กับไข่เจียวหมูสับอยู่ก่อนหน้า เขาส่งสายตาถามเพื่อนชายว่ามึงกินได้นะ? เพื่อนชายส่งสายตาตอบเขาว่ากูกินแบบผสมๆ ไม่ได้ว่ะ ส่วนแม่ขัดสมาธิยิ้มให้ทั้งคู่ ‘กินเยอะๆ นะลูก’ เสียงแม่หวานเย็นเหมือนเฮลส์บลูบอยใส่นมข้น ทุกอย่างคงจะดีถ้าแม่ไม่พูดลอยๆ ขึ้นมาว่า ‘โทษใครได้เนอะลูกเนอะ แม่เลี้ยงมันมาคนเดียว ญาติแม่ก็ผู้หญิงหมด เอ๊อ แม่ก็คิดไม่รอบคอบ’ เพื่อนชายยิ้มเจื่อนเมื่อเขาทิ้งช้อนโต๊ะสเตนเลสแล้วโต้กลับด้วยความเงียบที่เป็นดั่งอาวุธของเขาตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ เขาดื้อเงียบ หัวขบถชนฝา ‘ดูมัน ดูมัน เดี๋ยวเหอะเอ็ง เดี๋ยวกูให้ผีดาหลามาหักคอ’ แม่จุปาก ใช้ลูกไม้เดิมปรามเสียงอ่อน
เหมือนทุกครั้ง สุดท้ายผีดาหลาก็ไม่เคยปรากฏกาย และแม่ก็คล้ายจะเริ่มชินเมื่อเขาพาเพื่อนชายคนใหม่มาแนะนำทุกเทอม แต่ถึงไม่ด่า ไม่กีดกัน แม่ก็ยังรำเพยคำรำพึงยอกใจให้ได้ยินอยู่เนืองๆ ซึ่งผู้ที่แม่ปรับทุกข์ด้วยเป็นประจำก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล เป็นดอกดาหลาดอกเดี่ยวตรงข้างบ้านที่แม่สร้างตำนานผีดาหลาให้ แม่คุยกับมันเหมือนมันรู้จักคุยโต้ตอบกับแม่ บางครั้งแม่ก็อือๆ ออๆ พยักหน้ารับหงึกๆ หงักๆ เขาเคยกลัวที่แม่ทำอย่างนั้น แต่นั่นก็นานโขแล้ว แม่ของเขาก็ไม่ต่างจากบรรดาแม่ๆ ทั้งหลายที่พยายามหากลเม็ดมาหลอกให้ลูกเชื่องเชื่อ และดูเหมือน ‘ผี’ จะได้รับความนิยมมากที่สุด หากขู่ปากเปล่าแล้วยังดื้อ แม่จะเสริมด้วยการแสดงด้นสด ร้องว่าหา อะไรนะ กับลมฟ้าลมฝน แล้วทำทีเป็นเงี่ยหูฟังเสียงลึกลับ จากนั้นก็ตีสีหน้ากังวลพร้อมพึมพำว่าเอาแล้ว...เอาแล้ว ไม่เชื่อก็ตามใจตัวใครตัวมัน แน่นอน เขาเคยกลัวแปลว่าเขาเคยเชื่อ เวลาเดินผ่านดอกดาหลาสีแดงสดตอนเด็กๆ เขาจะเดินช้าๆ ย่องๆ ตัวค้อมมือประสานไว้ข้างหน้าอย่างสุภาพขณะเดินตีวงโค้งให้ห่างที่สุด ส่วนตาคอยเหลือบดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ ทว่าแน่เสียยิ่งกว่าแน่—เหมือนทุกครั้ง ย้ำอีกครั้ง—สุดท้ายผีดาหลาก็ไม่เคยปรากฏกาย อย่างไรก็ตาม พอเอ่ยถึงบ่อยๆ นานวันเข้าผีดาหลาก็เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว และในที่สุดก็ไม่ได้รับฟังแค่แม่ แต่รับฟังเขาด้วย ผีดาหลาเหมือนเป็นคนกลางระหว่างเขากับแม่ รับรู้ความเป็นไปในบ้านทุกเรื่อง และเก็บงำไว้ภายในกลีบสีแดงสด
แม่กับเขาอยู่กันไปอย่างนั้น บ่นกันและกันลอยๆ ผ่านผีดาหลา โดยมีเพลงลูกกรุงที่เปิดดังเกินไปคลอเป็นฉากหลัง ไอพ็อดอยู่ในโหมดเล่นเรียงตามเพลย์ลิสต์ และวนซ้ำกลับมาเพลงแรกจนถึงเพลงสุดท้ายจนกว่าแบ็ตฯ จะหมดในตอนกลางคืน (หากแม่ขี้เกียจเสียบชาร์จ) เขาหลีกเลี่ยงเสียงบ่นและเสียงเพลงจากยุคเก่า ที่สามารถทำนายแทร็กถัดไปได้เสมอ โดยการใส่หูฟังแล้วเปิดเพลย์ลิสต์ของตัวเองบ้าง แอพพลิเคชั่น JOOX ถูกตั้งให้เล่นเพลงแบบสุ่ม แต่เขาตระหนักภายหลังว่ามันคือการวนซ้ำในอีกรูปแบบหนึ่ง แม้กระนั้นเขาก็อัดและอุดหูด้วยเสียงหนึ่งเพื่อไม่ให้ได้ยินอีกเสียงหนึ่งอยู่ดี จะว่าเขาหนีเสียงด้วยเสียงก็ได้ ส่วนแม่ เขาไม่รู้ว่าแม่คิดอะไรถึงฟังแต่เพลย์ลิสต์เดิมๆ ด้วยความดังระดับเสียดแก้วหูเท่าเดิม
พูดถึงนิสัยการฟังเพลง เขาใส่หูฟังแทบจะตลอดเวลาด้วยเหตุผล 2 ข้อ หนึ่งคือหนีเสียงแม่ สองคือหนีฝันร้าย
เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองฝันอะไร แต่คงเป็นฝันร้ายเพราะเขามักสะดุ้งตื่นตอนตีสามเจ็ดนาที บางครั้งสี่ห้าคืนติดกัน บางครั้งว่างเว้นไปนาน แม่เคยพาเขาไปรดน้ำมนต์ ฝากเขาเป็นศิษย์หลวงพ่อ ที่ไหนดังที่ไหนดีแม่พาเขาดั้นด้นไปได้ไม่รู้จักเหนื่อย อย่างเดียวที่แม่ไม่ทำคือพาเขาไปหาหมอ ด้วยการวินิจฉัยของป้าและญาติๆ ทุกคนว่าหมอคงช่วยโรคเวรโรคกรรมนี้ไม่ได้ ยิ่งเวลาตีสามยิ่งเข้าตำราปล่อยผี ต้องพระ มีแต่พระเท่านั้นที่จะช่วยได้ ‘อยู่กับพระกับเจ้านะลูก แม่เอ็งก็อย่าพาไปหาคนทรงล่ะ มันจะหลอกเอาเงินอย่างเดียวไม่ว่า’ ป้าลูบหัวเขาแนบอก มือดึงศีรษะเป่ากระหม่อมพ้วงให้ขวัญมา จนปัจจุบันเขายังจำได้ว่าตัวเองเหนื่อยล้าแค่ไหน จะงอแง จะออดอ้อนขอกลับบ้านเท่าไหร่แม่ก็แค่บีบขาให้เขาอดทนโดยไร้เสียง เขาเพิ่งนึกได้ก็ตอนนี้ หากจะมีอะไรทำให้แม่เงียบได้ก็คือป้าที่เสียงดังกว่า ส่วนเสียงของเขาน่ะหรือ—ไร้ความหมาย
ในวัยสิบกว่าขวบ เขานึกเอาเองว่าวิธีที่จะทำให้ป้าและแม่หยุดได้มีเพียงต้องหยิบยืมเสียงของคนอื่น คนที่มีอำนาจลึกลับน่ากลัว ดังนั้น ตอนที่น้ำมนต์พรูลงมารดตัวเขาก็บีบเสียงกรีดร้องแหลมเล็ก นิ้วมือทั้งสิบงอเกร็ง เขาดิ้นพราดไปรอบๆ ตาแข็งจ้องป้าเขม็ง ทุกคนพนมมือยกท่วมหัว หลวงพ่อสาดน้ำมนต์ลงมาอีก เขาร้อง สบถ ด่ากราด ครั้งแรกใจเขาเต้นเพราะกลัวโดนจับได้ แต่แล้วมันก็ง่ายเข้า ง่ายเข้า จนเขากล้าชี้หน้าแม่ เสียงของเขาน่ากลัว สั่น แตกพร่า เขาหลุดไปสู่บทบาทผีหลอกผู้ใหญ่ ศีรษะเอียงข้าง ฟังคำกระซิบกระซาบที่ไม่มีใครได้ยิน ‘ปล่อยมันอยู่กับพ่อมันซะ ไม่งั้นกูตามไปทีละบ้าน’ ป้าผงะก่อนกระพุ่มมือไหว้ท่วมหัว ส่วนแม่หน้าซีดขาวจนไร้สีเลือด ปากคอสั่น ‘หนู...หนูต้องอยู่กับแม่สิลูก’ ทว่าเขาตอบด้วยการแหงนหน้าหัวเราะ เสียงของเขาไม่ใช่เสียงของเขาอีกต่อไป มันทะลักทลายออกจากหลืบที่ลึกที่สุด ไม่ใช่ผีที่ไหนเข้าสิง แต่เป็นผีในตัวเขาเองร้องแรกแหกกระเชอเพื่อปกป้องเด็กชายผู้ไม่มีทางสู้ เด็กชายร้องไห้หาแม่สลับกับผีร้องโหยหวนดังไปทั่วพาให้ขนลูกซู่เขาเรียกภาพในความทรงจำออกมาชมแล้วภาพมันก็ชัดเหลือเกิน ชัดเกินไปจนไม่เหมือนจริง เขายังสงสัยว่าแม่ได้เข้ามาอุ้มจากพื้นศาลาจริงหรือเปล่า แม่ได้ชี้หน้าด่ากราดทุกคนในที่นั้นรวมถึงผีที่ไม่มีตัวตนว่า ‘อย่ามายุ่งกับลูกกู!’ จริงหรือไม่ แต่อย่างไรความสงบก็มาเยือนเขาและแม่ เขาอาจคิดเพ้อเจ้อไป แต่ขณะที่อดีตกำลังฉายสลับกับปัจจุบัน เพลงโอละเห่กลับดังแผ่วเบาอย่างเศร้าสร้อย
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครมายุ่งกับเขาอีก แม้แต่แม่ก็ยังรักษาระยะห่าง พอเขาทำเป็นไม่มอง แม่ก็จะจ้อง และเมื่อเขาเหลือบสายตากลับมาอย่างแนบเนียน แววตาหวาดระแวงของแม่ก็รีบหลุบหลบ บางคืนแม่หอบผ้ามานอนด้วย สองแขนกอดกกให้ความอบอุ่น เขาอยากจะเปรียบเทียบกับแม่ไก่ แต่กลับนึกถึงจงอางมากกว่า แขนของแม่เหมือนจงอางสองตัวเลื้อยรัดพันเขาไว้ เขาไม่กล้ากระดุกกระดิก แม่ถามว่าอยากฟังนิทานไหม เขาพยักหน้า จงอางคลายขด แม่เดินหายไปหิ้ววิทยุกับเทปคาสเส็ตต์มาชุดหนึ่ง มันใหม่เอี่ยมแบบเพิ่งแกะพลาสติกออก เขาฟังนิทานเรื่องพระอภัยมณีแล้วผล็อยหลับไป ไม่มีตีสามเจ็ดนาทีในคืนนั้น
และคืนต่อๆ มา
แม่และเขาเรียนรู้พร้อมๆ กันว่านิทานช่วยได้ ทุกคืนแม่จะเปิดนิทานทิ้งไว้ขับกล่อมเขาแล้วค่อยคืบคลานกลับห้องตัวเอง เช้าวิทยุเป็นของแม่ ตกค่ำค่อยเป็นของเขา ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบที่แม่แอบย่องมาเอาวิทยุกลับไป นานเข้าคงขี้เกียจเทียวมาเทียวไปเลยทำเป็นลืมไม่ยกมาเหมือนเคย ส่วนตัวเขาเองก็ขี้เกียจไปทวงถาม เพราะแต่แรกอาการสะดุ้งตื่นก็ไม่ได้ระคายส่วนไหนของเขา เขาสามารถเอาหน้าซุกหมอนหลับต่ออย่างสบาย แถมฝันร้ายยังก็เลือนหายไปก่อนที่จะจำได้เสียอีก และตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบที่เสียงร้องของเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของบ้านเช่นเดียวกับเสียงเพลงสุนทราภรณ์ของแม่ เวลาได้ชะเอาความกังวลออกไปเมื่อเขาและแม่เห็นตรงกันโดยไม่ต้องพูดปรึกษากันว่ามันไม่ใช่โรคร้าย ทั้งสามารถทุเลาได้ด้วยเสียงที่จะซึมลึกเข้าไปในความฝัน จากนิทานพระอภัยมณีกลายเป็นดนตรียุคอัลเทอร์เนทีฟ เปิดดังแข่งกับดนตรีลูกกรุงแบบไม่มีใครยอมใคร ใครผ่านมาผ่านไปก็ชอบทักว่าบ้านของเขากับแม่มีชีวิตชีวา แม่ยิ้มให้แก้มแทบปริ ส่วนเขาหน้ามุ่ยย้ายกระถางอยู่หลังบ้าน
เขากับแม่อยู่กันไปอย่างนั้น Enjoy the Silence ของ Depeche Mode ดังแข่งกับ ‘ดอกไม้รำพึง’ เวอร์ชันบุษยา รังสี สิ่งที่ไม่มีเสียงกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่ อาการผิดประหลาดถูกกลบฝังไว้ในความเงียบ
มันคงเป็นเช่นนั้นไปตลอดกาลหากไม่มีกลุ่มคำศักดิ์สิทธิ์ ‘จนกระทั่งวันหนึ่ง’
ค่ำ เขาเปิดอินเทอร์เน็ตดูรายวิชาที่สามารถลงได้ในปี 3 เทอม 2 วิชาซาวด์ดีไซน์เข้าท่า เขาชอบงานภาพ แต่งานเสียงดูจะเป็นสิ่งที่เขาคลุกคลีมาตั้งแต่เด็กคงไม่ยากเท่าไหร่นัก อีกอย่าง เขานึกอยากทำหนังคอเมดี้สักเรื่องที่ตัวเอกแพ้เสียง พอได้ยินแล้วผื่นจะขึ้น ดังนั้นจึงต้องใช้ที่อุดหูอยู่ตลอดเวลา แต่ใครจะรู้ เมื่อได้เรียนและทำโปรเจ็คต์ย่อยเข้าจริงๆ เขากลับได้ยินเสียงบางเสียงซึ่งทำให้อาการสะดุ้งตื่นที่แม่กับเขาพยายามกลบฝังกำเริบขึ้นมา
เสียงกระซิบที่เบาที่สุดแต่แรงร้ายถึงตายดับ
3.
‘กระเถิบไปหน่อยสิ’
4.
ถี่ขึ้น ถี่ขึ้น และถี่ขึ้น
5.
03:07 นาฬิกา เขาสะดุ้งตื่นแล้ววิ่งไปอาเจียน
03:39 นาฬิกา เขาใช้เวลาทั้งสิ้น 32 นาทีในการรำลึกอดีตเพื่อข่มตาหลับในปัจจุบัน
03:45 นาฬิกา เขายอมแพ้ ลุกขึ้นนั่งแล้วจุดบุหรี่ พอเริ่มเบาสบายก็ควานหาหูฟัง นิ้วกดเข้าแอพพลิเคชั่นสำหรับฟังเพลง เขาดูเพลย์ลิสต์ยาวนานโดยที่ไม่อยากเลือกฟังสักเพลง สุดท้ายเลยเกี่ยวหูฟังออกแล้วลุกจากเตียงไปเปิดหน้าต่าง ตาเห็นสายฝนพรมพรำเป็นม่านบางๆ ส่วนหูได้ยินเสียงอ่อนหวานเมื่อหยดฝนจูบกับผิวน้ำในลำคลอง
เขาแยกส่วนของเสียงฝนไปอีก ฝนกระทบหลังคากับกระทบใบไม้ไม่เหมือนกัน น้ำฝนที่พยายามแทรกตัวซึมเข้ากระดานไม้ก็ไม่เหมือนกับน้ำฝนที่แตกเละอยู่บนคอนกรีต เขาหลับตา ฟังเสียงฝนที่ประสานกับเสียงพัดลมครางหึ่ง เสียงเอี๊ยด เอี๊ยด ของก้านพัดลมที่เชื่อมติดกับเพดานร้องให้จังหวะ เสียงเขียด หรือกบ เขาไม่แน่ใจนัก เสียงจิ้งหรีด หรือจักจั่น เขาก็ไม่แน่ใจอีก ทั้งหมดรวมกันเป็นซาวด์สเคปตอนกลางคืนของโฮมสเตย์ติดริมคลองแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรสงคราม
เขาเพิ่งหัดฟังเสียงรอบๆ ตัวได้ไม่นาน วิชาซาวด์ดีไซน์หรือวิชาออกแบบเสียงที่เขาลงมีโปรเจ็คต์เล็กๆ ให้ทำคือการเก็บซาวด์สเคปหรือ ‘เสียงแวดล้อม’ ของพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ทั้งเสียงทั่วไปที่รองเป็นแบ็คกราวด์ เสียงซึ่งมีความหมายในเชิงสัญญะ และเสียงที่บ่งชี้เอกลักษณ์ของพื้นที่นั้นๆ สถานที่แรกที่เขานึกถึงคือบ้านของตัวเอง บ้านที่ไม่เคยเงียบ อันที่จริงก็น่าสนใจหากนำไปพรีเซนต์ ขณะที่เขากำลังคิดหาข้อความเด็ดๆ มาเป็นตัวเปิดสไลด์ อาจารย์ก็พูดถึงความเงียบ
‘ความเงียบก็เป็นเสียงแวดล้อมอย่างหนึ่งเหมือนกัน’
ใครบางคนหัวเราะ
‘อีกอย่างเธอมั่นใจได้ยังไงว่าในความเงียบมันไม่มีเสียงอะไรเลยจริงๆ’
พอเลิกคลาสเขาตรงกลับบ้าน และคืนนั้นเป็นหนึ่งในไม่กี่คืนที่เขาถอดหูฟังออก เขาสูดหายใจเข้า หลับตา ตั้งใจเงี่ยหูฟังเสียง ได้ยินเสียงเพลงสุนทราภรณ์ของแม่ดังเบาๆ โอบบรรยากาศตอนกลางคืน แม่ยังไม่หลับ เขาสำรวจบ้านด้วยหู จากห้องหนึ่งไปยังอีกห้องหนึ่ง บางทีก็เตลิดออกไปนอกบ้านเมื่อจักจั่นหน้าร้อนกรีดปีกเรียกความสนใจพร้อมกัน เขากลับเข้ามาในบ้านใหม่ คราวนี้ลองฟังความเงียบ แม้แต่ตัวเขาเองยังนึกขันกับความคิดนั้น ความเงียบในบ้านที่ไม่เคยเงียบ
แล้วเขาก็วูบไป มาได้สติแบบเต็มร้อยอีกทีก็ตอนที่นั่งอยู่บนรถไฟแล้ว เสียงประดังประเดเข้ามาพร้อมกันจนเขาต้องอุดหู น้าที่นั่งตรงข้ามยื่นยาดมให้ เขารับมาสูด ทั้งยาดมและอากาศนอกหน้าต่าง น้าคนเดิมถามเขาว่าจะไปเที่ยวที่ไหน
เขาไม่รู้
สุดปลายทางสถานีแม่กลอง นอกจากปลาทู สมุทรสงครามทำให้เขานึกถึงเพลง ‘สาวอัมพวา’ ขับร้องโดยนพดฬ ชาวไร่เงิน นึกถึงครูเอื้อ สุนทรสนาน ครูเพลงวงดนตรีสุนทราภรณ์ผู้ล่วงลับ เขาเพิ่งตระหนักว่าแม่อยู่ในตัวเขามากแค่ไหน เขารู้ทั้งชื่อเพลง รู้ไปจนถึงผู้ขับร้องต้นฉบับ เขาเป็นผลผลิตของแม่ทั้งเลือดเนื้อและวิญญาณ และอาจเหมือนแม่มากกว่าที่คิด ทั้งตาโศก ริมฝีปากบางที่ชอบเม้มเรียบเวลาไม่พอใจ เหมือนไปจนถึงตีนผมและร่องใต้จมูก เขาเรียนรู้ว่าส่วนที่ไม่มีใครพูดถึงแต่ ‘หลุดปาก’ คือส่วนที่เหมือนพ่อ ใบหู ลักยิ้ม ขวัญ ฟันเรียบสวย และนิ้วมืออย่างนักดนตรี
เขาตัดสินใจจับสองแถวตรงไปยังตลาดอัมพวา ฟ้าครางครืน หน้าร้อนมักอากาศร้อนจัดๆ ได้ 3 วันแล้วตามด้วยห่าฝน เขารีบเลือกที่พักแบบไม่คิดมาก วันธรรมดายามฝนพรำไม่ใช่แค่คนน้อย แต่ไม่มีคนเลย เขารู้สึกคล้ายกับว่าได้ทิ้งชีวิตในอีกมิติหนึ่งไว้บนรถสองแถวแล้วหลุดมายังอีกมิติหนึ่ง ม่านฝนทำให้ทัศนียภาพพร่าเลือนไม่เหมือนจริง แม้แต่รอยยิ้มของเจ้าของยังคล้ายปั้นขึ้นเพื่อต้อนรับเขาคนเดียว
ว่ากันว่าเรากำหนดความฝันได้ถ้ารู้จักฝึก เขาไม่เคยฝึกแต่ไม่คิดว่ามันไร้สาระ ขนาดความทรงจำแท้ๆ ยังฝังลืมได้หรือบิดเบือนได้ แล้วประสาอะไรกับความฝัน สำหรับเขา ความฝันและความทรงจำแทบจะกลืนกันเป็นเนื้อเดียว คงโชคดีหากระลึกได้ว่าความฝันนั้นเป็นฝันดี ทว่าเขาไม่แน่ใจ ไม่กล้าคิด ลึกๆ แล้วเขาว่าเขารู้ แม่ก็รู้ แต่เขาและแม่ทำเป็นไม่สนใจ ไม่มีใครพูด ราวกับว่าถ้าหลุดออกมาแม้แต่คำเดียวผีจะฟื้นจากหลุมแล้วไม่มีใครทราบวิธีปราบมันได้
เขากำลังจะสูบบุหรี่ตัวที่สอง หูก็ได้ยินเสียงบางเสียงแทรกมากับสายฝน เขาจุดไฟแช็กค้างไว้ ไฟดวงเล็กทำให้ห้องสลัว บางทีผีอาจจะแอบอยู่มุมใดมุมหนึ่งของห้อง เขาชูไฟแช็กขึ้นแล้วหาที่มาของเสียงซึ่งเบาแผ่วแต่ยังสามารถทะลุผ่านอณูของผนังไม้มาได้ หูหาเรื่องเข้าไปแนบชิดจนได้ยินเสียงครวญครางเกือบจะชัดเจน เขาถอยออกมาแล้วกลับไปแนบใหม่ รายละเอียดของเสียงดึงเขาไว้ ฉุดเขาให้ตั้งใจฟัง เขาได้ยินเสียงของคนสามคน ผู้ชายทั้งหมด เขาค่อนข้างแน่ใจว่าสองเสียงดังมาจากลำโพงมือถือ อีกหนึ่งเสียงดังจากปากของผู้ชายห้องข้างๆ นี้เอง เสียงคราง ผู้ชายสามคนกำลังคราง จะมีกิจกรรมสักกี่อย่างที่ให้เสียงชวนคิดสัปดน เขากลืนน้ำลาย สองเสียงจากลำโพงโต้ตอบกัน แต่อีกหนึ่งเสียงแยกห่างออกมา มันกระชั้นขึ้น ถี่ขึ้น ถี่ขึ้น หัวใจเขาเต้นแรง ผีในตัวเต้นเร่า เขาหอบตามเสียงทั้งสาม ถี่ขึ้น ถี่ขึ้น
เขาตบผนังโดยแรง
กิจกรรมข้างห้องหยุดค้างครึ่ง หนึ่งเสียงหายไป อีกสองเสียงยังดังต่ออีกนิดแล้วหยุดฉับ เขาซบศีรษะกับกำแพง หอบ ขอบตาร้อน ใบหน้าก็ร้อน
04:00 นาฬิกา เวลาปล่อยเปรต
ใกล้รุ่งสาง เขาได้ยินเสียงผู้ชายห้องข้างๆ เปิดประตู หลังจากนอนตะแคงลืมตาโพลงราวๆ 5 นาทีเขาจึงตัดสินใจสวมเสื้อสวมกางเกงแล้วออกไปบ้าง อากาศค่อนข้างเย็นเนื่องจากฝนยังไม่หยุดตก ส่วนบรรยากาศก็ค่อนข้างวังเวงเนื่องจากร้างผู้คน ในที่แห่งนี้ดูเหมือนจะมีแค่ผู้ชายข้างห้องกับเขาที่แวะมาพัก หรือไม่ก็อาจเช้าเกินไปที่แขกคนอื่นจะตื่น เขาก้าวช้าๆ ทีละก้าว พยายามที่จะทำให้กระดานไม่ลั่น แต่เสียงเอียดอาดเพียงเสียงเดียวก็ทำให้ผู้ชายคนนั้นละสายตาจากวิวแล้วหันมาทางเขา
“ตื่นเช้าจังครับ”
เขาคุ้นกับคนอัธยาศัยดี ยิ่งคนอัธยาศัยดีและนิสัยแปลกๆ ยิ่งคุ้น คณะนิเทศศาสตร์เป็นศูนย์รวมของคนที่ว่า “ครับ” แต่เขารู้จักตอบกลับแค่นั้น
ผู้ชายข้างห้องหันกลับไปมองวิวแล้วสูบบุหรี่ ถึงตอนนี้เขาก็ยังมองเห็นหน้าอีกฝ่ายไม่ชัด แสงจากโคมด้านนอกไม่พอให้ที่พักด้านในสว่าง ไม่นับว่าทิศทางที่ผู้ชายคนนั้นหันมายังย้อนแสงไปเสียอีก เขาไม่แน่ใจว่าควรเข้าไปใกล้ๆ หรือควรกลับเข้าห้องตัวเอง ระหว่างที่ยังลังเล เสียงเพลงจากลำโพงมือถือก็ดังคลอไปกับเสียงฝนกระทบน้ำ Crying In the Rain ของ The Everly Brothers
“ผมเคยฟังเวอร์ชั่นที่ A-ha คัฟเวอร์” เขาหาเก้าอี้นั่งโดยยังรักษาระยะห่างอยู่
“เพลงดัง มีหลายเวอร์ชั่น”
“แล้วคุณชอบเวอร์ชั่นไหนมากที่สุด”
“คิดว่าทุกเวอร์ชั่นนะ ไม่รู้จะเทียบยังไงเพราะมันไม่เหมือนกัน สิ่งที่ผมชอบคือเนื้อร้อง ถ้าเนื้อร้องไม่เปลี่ยนผมก็ยังชอบอยู่” ผู้ชายข้างห้องหันมายิ้มให้ คราวนี้เขาเห็นแล้วว่าอีกฝ่ายหน้าตาเป็นอย่างไร ตาโศก ปากบาง มีลักยิ้มและฟันเรียบสวย เขาเผลอไล่สายตาไปถึงนิ้วมือ เรียว ดูแข็งแรง เล็บตัดสั้น แล้วเขาก็นึกว่านักดนตรีควรมีนิ้วมืออย่างนี้จริงๆ ไหม
“เธอมาเที่ยวคนเดียวหรือ” สรรพนามเปลี่ยนไปเมื่อได้เห็นกันและกันชัด
“มากับผีครับ”
ผู้ชายข้างห้องหัวเราะ
“ผมมากับผีจริงๆ” เขายิ้มจนเห็นลักยิ้มบุ๋มลงไป
จากนั้นบทสนทนาก็ไขว้ไปไขว้มาระหว่างอัมพวากับเพลง ผู้ชายข้างห้องยกเพลงที่เกี่ยวกับสายฝนขึ้นมา เพลงดังดาษดื่นอย่าง Raindrops Keep Falling On My Head ถูกยกขึ้นมาเป็นอันดับแรก เขาแชร์บ้าง พยายามนึกถึงเพลงอัลเทอร์เนทีฟยุคเก้าศูนย์แต่นึกไม่ออก เลยยกเพลง ‘ปีศาจวสันต์’ มาสู้ ตามด้วย ‘ฝนหยาดสุดท้าย’ และ ‘สายชล’
ผู้ชายข้างห้องหัวเราะเสียงดังขึ้นอีก บอกว่า “อัมพวากับสุนทราภรณ์ เธอทำให้ฉันนึกถึงผู้หญิงคนหนึ่ง”
สำหรับคนแปลกหน้าที่ไม่น่าจะมีทางเวียนมาเจอกันอีกแล้ว การพูดเรื่องส่วนตัวถือว่าเป็นเรื่องง่ายดาย เขาคิดอย่างนั้น และผู้ชายข้างห้องก็คงคิดเหมือนกัน เรื่องคนรักเก่าหลุดออกจากปากง่ายดาย แววตาโศกคล้ายหลุดหายไปในอดีต
“หล่อนชอบฟังสุนทราภรณ์มากๆ ชอบขนาดที่ฟังตลอดเวลาเธอเชื่อไหม ฉันฟังไม่ค่อยรู้เรื่องแต่ฟังไปเรื่อยๆ ก็เพราะดี หลังๆ ติดจนไม่เอาเพลงแนวอื่นเลย แต่ก็นะ คนเราไม่ควรจมกับเพลงเดิมซ้ำๆ มันเอาแต่จะย้ำเรื่องที่ไม่อยากคิด”
เขากลายเป็นผู้ฟัง และเป็นผู้ฟังที่ดีเสียด้วย แม่ฝึกเขาจนเขาชำนาญ แม้ในกรณีของแม่ เขาจะฟังบ้างไม่ฟังบ้างก็ตาม
“แฟนคุณอาเหมือนแม่ผมเลย”
“ไม่ๆ” ผู้ชายข้างห้องปฏิเสธพลางจุดบุหรี่ “หมายถึงหล่อนไม่ใช่แฟนฉัน”
คนรักเก่าที่เขาเข้าใจกลายเป็นเพื่อนสนิท ผู้ชายข้างห้องสนิทกับผู้หญิงคนนั้นมาก—มากเสียจนอ้าแขนต้อนรับเมื่อหล่อนหนีออกจากบ้านพร้อมลูกชายที่กำลังแบเบาะ หล่อนไม่เคยปริปากถึงพ่อของเด็ก จากให้ที่พักแค่หนึ่งคืนกลับยาวนานหลายปี เขารับหล่อนเป็นภรรยาแม้จะไม่เคยร่วมเตียงกันเลย
“ลูกชายของฉันเหมือนเธอมาก ตา จมูก ปาก เหมือนไปหมด ฉันยังตกใจตอนที่เห็นชัดๆ เธอยิ้มสวยนะ”
แน่นอนว่าเขายิ้มกว้างขึ้น
“คุณอาเชื่อเรื่องบังเอิญไหมครับ”
“หืม”
“ผมบังเอิญหน้าเหมือนลูกชายคุณอา ผมอาจบังเอิญเป็นลูกชายคุณอาจริงๆ ก็ได้”
ผู้ชายข้างห้องเงียบ เสสายตาไปยังคลองที่ไหลเอื่อยด้านหน้า
“แล้ว…” เขาเปลี่ยนเรื่อง “ลูกชายกับภรรยา...เพื่อนสนิทคุณอาไปไหนแล้วล่ะครับ ผมขอโทษถ้ามันละลาบละล้วงไป”
“ไม่เป็นไร” ผู้ชายข้างห้องสูดควันลึกแล้วระบายเป็นสาย “หล่อนกลับไปฆ่าอดีต ฉันคิดว่า...ไม่รู้ ฉันคิดเอาเอง”
“รอยแผลนั่นคุณอาได้มายังไงครับ”
‘อย่า!’
“อุบัติเหตุ”
‘แม่! อย่าทำพ่อ!’
“ครับ”
‘มันไม่ใช่พ่อมึง!’
‘อีกอย่างเธอมั่นใจได้ยังไงว่าในความเงียบมันไม่มีเสียงอะไรเลยจริงๆ’
‘ผู้ชายมันชั่วเหมือนกันทั้งโลก!’
“แล้วเธอเชื่อเรื่องบังเอิญไหม”
เงียบ
“แม่เธอสบายดีไหม”
เงียบ
“ฉันขอโทษ”
เงียบ
‘กระเถิบไปหน่อยสิ’
‘อย่าบอกแม่นะ ความลับ’
‘ฉันขอโทษ...พ่อขอโทษ’
“คุณอาเชื่อเรื่องผีไหม”
เงียบ
“ผมไม่เชื่อ แต่ผมถูกมันหลอกทุกวันตอนตีสามเจ็ดนาที”
เงียบ
“คุณอาครับ”
ร้องไห้
“ผมดีใจที่มันก็ตามหลอนคุณอาด้วย”
เงียบ
“ห้องผมว่าง”
เงียบ
“แต่ผมคงแก่ไปใช่ไหมครับ”
เงียบ
“บอกให้แม่เธอเลิกฟังสุนทราภรณ์ได้แล้ว”
หัวเราะ
“คนเราไม่ควรฟังเสียงจากอดีตซ้ำๆ รู้ไหม”
เงียบ
“คนเรา...ไม่ควรจมกับอะไรเลย”
6.
เขาไม่เคยรู้สึกแปลกบ้านอย่างนี้เลย
บ้านเงียบ
แม่นั่งอยู่หน้าบ้าน ขอบตาช้ำ นัยน์ตาแดงก่ำจนน่ากลัว
“ชาคริต” แม่เรียก มือค้ำบันไดทำท่าจะลุกมาหา “ชาคริต...
หนูลูก หนูกลับมาแล้ว”
“แม่” เขารับกอดของจงอาง สองแขนรัดพันเขาแน่นหนาในอกอุ่น วิมานสงัดเร้นอันเป็นที่ลับส่งเสียงกระซิบแปลกหู จากเฟื่องฟ้าที่โตคลุมมะขาม จากบุ้งที่ซ่อนอยู่ในพุ่มเล็บมือนางหอมฟุ้ง จากคุณนายตื่นสายคอสลด จากบรรดาดอกไม้ทุกๆ ช่อทุกๆ ดอกในสวนป่า และจากไม้ผลและผักสวนครัวที่ถูกลืม
“แม่เลิกฟังสุนทราภรณ์ได้แล้วนะ”
เสียงปล่อยโฮอย่างสุดจะกลั้นดังก้องในอกเหวงว่าง แขนผอมบางของเด็กหนุ่มกอดตัวจงอางที่อ่อนแรง
“พ่อผมอยู่ที่ไหน แม่เล่าให้ผมฟังหน่อย แบบที่ไม่ใช่เรื่องโกหกที่แม่เล่าให้ป้ากับญาติๆ ฟัง”
แม่สั่น ตาแข็งเหมือนผีเข้า
“แม่…”
เขากระชับแขนกอดหญิงวัยกลางคนให้แน่นเข้า กวาดมองบริเวณบ้านที่เงียบสงัดเรื่อยไปจนถึงดาหลาดอกเดี่ยวที่ข้างบ้าน มันแหลกเละ กลีบสีแดงสดกลายเป็นสีแดงช้ำเหมือนเลือด รากถูกดึงจนพ้นดิน ความลับถูกปลดปล่อยและถูกขยี้ขยำไปพร้อมกัน
เขาไม่มีทางรู้เลยว่าเมื่อไหร่ผีของแม่จะสูญสลายไป
คนอ่านอาจจะลุ้นมากไป เดี๋ยวจะอ่านอีกรอบ
ดีใจที่คนอ่านลุ้น ส่วนช่วงห้าคงต้องปรับปรุงบ้างเนอะ :-)
อ่านแล้วลุ้นค่ะ ว่ามีผีจริงหรือเปล่า แต่ยังงงช่วง 5 อยู่