พื้นผิวทั้งหมดของความรู้สึก
1. แสงแดดที่เกาะกวม
เช้าวันนี้หลังจากหกนาฬิกาห้านาที เธอนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ พนักงานกะกลางดึกออกไปจากบริษัทจนเกือบหมด เธอลากเมาส์คลิกที่หน้าจอ เพื่อตรวจเช็คตู้ไปรษณีย์อีเล็กทรอนิกส์ว่ามีจดหมายส่งถึงเธอหรือเปล่า เช้าวันจันทร์ทุกอย่างเร่งรีบเสมอ แต่สำหรับเธอเป็นเรื่องปกติ งานในตำแหน่งบรรณาธิการเว็บ (Web Content Editor) ราบเรียบ ไม่มีสีสันท้าทายเหมือนก่อนเข้ามาทำงาน สามปีกับการทำงานในตำแหน่งนี้ บัดนี้เธอมิได้มีใจแก่มันมากเท่าฝีนถึงแสงแดดที่เกาะกวม
เกาะกวมตั้งอยู่ระหว่างประเทศญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย ตั้งอยู่บนมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือ เธอรู้จักผู้ชายคนหนึ่งที่นั่น เขาทำงานในฐานทัพเรืออเมริกัน ทั้งสองพบกันครั้งแรกผ่านโปรแกรมไอซีคิว (ICQ) โปรแกรมสำหรับส่งข้อความถึงกันแบบเรียลไทม์ จากเครื่องคอมพิวเตอร์อีกตัวไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์อีกตัวหนึ่งที่ต่อเข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีขอบข่ายกว้างใหญ่ไพศาลครอบคลุมโลกใบนี้ทั้งใบ อินเทอร์เน็ตทำให้มนุษย์คุยกันได้โดยไม่มีข้อจำกัด ทั้งสองพบกันโดยบังเอิญ เขาค้นหาชื่อเธอแบบสุ่ม และได้พูดคุยกันจนรู้จักกันมากขึ้น เธอคุยกับเขาทุกวันแม้จะอยู่กันคนละซีกมหาสมุทร ไม่มีอะไรขวางกั้นการสื่อสารถึงกันได้ ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ขอให้มีคอมพิวเตอร์และต่อสายโทรศัพท์เข้ากับเครือข่าย ทั้งสองก็สนทนากันได้ราวกับใกล้ชิด เสมือนนั่งคุยอยู่ในห้องเดียวกัน จับเข่าคุยกัน กินข้าวด้วยกัน และฝันถึงเรื่องเดียวกัน
หกเดือนมาแล้วที่เธอคุยกับเขา ส่งรูปแลกกันดู พูดคุยแลกเปลี่ยนปัญหาชีวิต บอกเล่าถึงความปรารถนาที่จะทำสิ่งใดในอนาคต เธอบอกตัวเองว่าหลงรักเขาเสียแล้ว เพราะเขาช่างอบอุ่นและทำให้เธอกลับไปเป็นตัวของตัวเอง แม้ไม่เคยพบกันจริงๆ ทว่าผูกพันกันยิ่งกว่า ผูกพันกว่าผู้ชายหลายคนที่เธอเคยรู้จัก เธอเองประหลาดใจที่เกิดความรู้สึกนี้ขึ้นกับตัวเอง เหตุใดเธอจึงรักผู้ชายที่เธอพบเพียงการติดต่อผ่านทางตัวอักษร ผ่านคลื่นสัญญาณ ผ่านสายโทรศัพท์ วิ่งบนใยแก้วนำแสง วิ่งบนชั้นบรรยากาศ สัญญาณถูกส่งไปยังดาวเทียมดวงใดดวงหนึ่ง ก่อนจะเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางด้วยความเร็วดุจลมหายใจ เหมือนเขาเป็นวิญญาณที่ไม่มีตัวตน แต่สามารถสัมผัสถึงเขาได้อย่างลึกล้ำ-เธอไม่เข้าใจ
อาการปวดหลัง ปวดตา ปวดหัว เกิดจากการนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์นานๆ ทั้งวัน เธอเริ่มงานกะแรกตอนหกโมงเช้า พักทานข้าวตอนสิบโมง แต่ส่วนมากเธอจะดื่มกาแฟกับบิสกิต เธอเลิกงานตอนบ่ายสามโมงตรง ส่วนพนักงานกะที่สองมาเปลี่ยนตอนบ่ายสามโมง แล้วเลิกงานตอนตีสาม แต่บางคนทำจนกระทั่งถึงเช้าค่อยออกจากบริษัท พนักงานเช้ามีข้อแม้ว่าห้ามเข้างานสาย ทุกคนจะทำงานวันละสิบสองชั่วโมง ตอนเข้ามาทำงานแรกๆ เธอเกิดอาการต่อต้านอย่างรุนแรง เพราะคิดว่าชีวิตเริ่มเป็นระบบโรงงานและเครื่องจักรมากขึ้น เพราะก่อนจะเข้ามาทำงาน เธอคิดว่านี่คืองานสร้างสรรค์เว็บไซต์ออนไลน์ที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกด้วยการคลิก
หลังบริษัทมีอพาร์ตเม้นท์ให้เช่า เธอกับเพื่อนจึงเช่าอพาร์ตเม้นท์ร่วมกันอยู่ที่นั่น แต่บางคืนบางวันเธอกลับไปนอนบ้าน ยิ่งช่วงหลังๆ เธอรู้สึกว่าอยากกลับไปนอนที่บ้านมากกว่านอนที่อาร์ตเม้นท์ เวลากลับไปครั้งหนึ่ง แม่ก็จะคอยทำอาหารให้กิน โดยมากเป็นอาหารที่เธอชอบ ช่วงวันศุกร์เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาเธอนอนบ้านทั้งสามวัน แม้จะต้องไปทำงานสายในวันจันทร์ก็ตามที
สองสัปดาห์ที่แล้วเธอมีเรื่องกับพนักงานด้วยกัน ด้วยเรื่องส่วนตัวเล็กน้อยไร้สาระ พอวันต่อมาเธอตัดสินใจขึ้นไปบอกเจ้านายว่าจะยื่นใบลาออก หัวหน้ามิได้ยับยั้งการลาออกครั้งนี้ แต่ขอให้เธอทำงานจนครบเดือน หรืออย่างน้อยรอให้เขาหาคนมาแทนให้ได้เสียก่อนค่อยออกจากงาน ทว่าจิตใจของเธอมิได้อยู่ที่ทำงานอีกแล้ว
การลาออกของเธอมีความหมายเป็นอย่างมาก เธอรู้สึกมีความหวังกับชีวิตใหม่ กับอนาคตที่เธอกำลังจะเดินไปข้างหน้า ชีวิตคงรื่นรมย์ขึ้น แม้เธอจะไม่รู้ว่ามันจะออกมาในรูปแบบใดก็ตาม เธอคิดว่าจะสะสางสิ่งที่ติดค้างอยู่ให้หมดสิ้น ทั้งภาวะภายในและภายนอก ทั้งความรู้สึกที่ปวดร้าว เหงา เศร้า รวมไปถึงชีวิตในอนาคต
วันหนึ่งเธอได้รับข่าวดี ชายที่เธอรักจะบินจากเกาะกวมมากรุงเทพฯ เธอจะได้พบเขาเป็นครั้งแรก หลังจากคุยกันผ่านอินเทอร์เน็ตมานาน
เธอตื่นเต้น นอนไม่หลับ นับเวลาคอยรอ นานมาแล้วที่เธอไม่เคยรอคอยอะไรด้วยความหวัง เธอไม่รู้ว่าต่อจากนี้ชีวิตจะเปลี่ยนไปมากขนาดไหน
ในที่สุดเขาก็มีกำหนดบินมายังกรุงเทพฯ ในสัปดาห์หน้า เขาอาจจะมีเวลาไม่มากนัก เพราะต้องกลับไปทำงานต่อ เธอเตรียมหาโรงแรม จัดการเรื่องสถานที่ท่องเที่ยว เธออาจจะต้องหยุดงานสักอาทิตย์ แต่เธอไม่แคร์เพราะจะลาออกอยู่แล้ว
เขามาถึงกรุงเทพฯ ตามกำหนดเวลา เธอใช้เวลาอยู่กับเขาอย่างใกล้ชิด เขาทำให้เธอเป็นตัวของตัวเอง มีความสุข กลับไปร่าเริง เธอหยุดงานหนึ่งอาทิตย์พาเขาไปเที่ยววัดวาอาราม สถานที่ท่องเที่ยว อารมณ์แห่งรักลอยล่องอยู่ในทั่วทุกอณูอากาศ
เธออยากให้เขาเล่าถึงเกาะที่เขาอยู่ เขาเล่าว่าปีนี้ที่นั่นเพิ่งถูกยาพุถล่มอย่างหนัก บ้านเรือน ต้นไม้พังพินาศ อากาศแห้งและแล้ง น้ำทะเลที่นั่นลึกและปั่นป่วน งูทะเลที่นี่มีพิษซึ่งต้องระวังเวลาเล่นน้ำ เธอถามว่าถ้าเวลาปกติละ เขาบอกว่าเวลาปกติที่นี่เหมือนเกาะสวรรค์สำหรับนักท่องเที่ยว แต่ก็นั่นแหละ ที่นี่เป็นแหล่งมาเฟีย อาชีพนักสืบ-สายลับเป็นอาชีพที่เฟื่องฟูที่สุด เพราะมันอยู่บนรอยต่อของหลายประเทศ เหมาะแก่การสอดแนมและโจรกรรม
วันที่ทั้งสองไปทานอาหารเย็นด้วยกันสองต่อสอง เขาชวนให้เธอไปอยู่กับเขาที่เกาะกวม ตอนที่เขาชวนเธอ ในใจของเธออดดีใจไม่ได้ แต่กระนั้น...ถ้าไปอยู่ที่นั่นจริงๆ คงต้องเตีรยมตัวพอสมควร เธอใช้เวลาตัดสินใจเพียงเสี้ยววินาที เธอเลือกที่จะไปอยู่กับเขา อย่างน้อยก็ปีหนึ่งบนเกาะกวม เขาสัญญาว่าเมื่อแต่งงานกันแล้วจะย้ายกลับไปอยู่ที่อเมริกาแผ่นดินใหญ่
การพบกันเกิดขึ้นเพื่อจากลา หนึ่งอาทิตย์เต็มที่ทั้งสองอยู่ด้วยกัน เขาก็ต้องกลับไปประจำฐานทัพเธอ ส่วนเธอกลับมาทำงาน ตื่นตีห้า ทำงานหกโมงเช้า เลิกบ่ายสามโมง เธอรอให้คนมาแทนตำแหน่งโดยเร็ว
ชีวิตกลับมาปกติ แต่ความรู้สึกด้านในของเธอเปลี่ยนแปลงไป การงานที่ทำให้เธออ่อนล้าลงยิ่งโถมทับลงมามากขึ้น เธอไม่แปลกใจที่มันเป็นอย่างนี้ เธอรู้ว่าบางสิ่งบางอย่างต้องเกิด บางสิ่งบางอย่างต้องเป็น ทว่าจะทนรับสภาพสิ่งที่เกิดสิ่งที่เป็นได้เพียงไหน
วิถีชีวิตเวียนวน จืดชืด ซ้ำซาก เต็มไปด้วยความน่าเบื่อหน่าย เธอเป็นเช่นนั้นหากไม่มีความหวังในรัก ทุกอย่างคงภินท์พัง เธอเห็นรักประกายอยู่ข้างใน
วันหนึ่งเธอฝัน
เธอฝันเห็นแสงแดดที่เกาะกวม ภาพเบลอ แสงแดดสีเหลืองจาง น้ำทะเลลึกสุดกู่ ข้างบนร้อน ข้างล่างเย็น งูพิษว่ายเต็มไปทั่วอ่าว ลมพัดแรง ต้นมะพร้าวยืนต้นตาย สึนามิ เธอสะดุ้งตื่นกลางดึกและนอนไม่หลับ เธอประหลาดใจ ทำไมฝันร้าย เธออยากไปที่นั่น ทำไมถึงฝันร้าย หรือว่าเธอยังไม่สามารตัดขาดไปจากครอบครัว เธออยากสัมผัสถึงเกาะกวมที่คนรักของเธออยู่ แต่จะเป็นไปอย่างไร ถ้าต้องจากบ้าน เธออยากจะร้องไห้ อยากจะไขว่คว้าแต่ก็หวาดกลัว ทำได้เพียงเงียบเฉย เก็บความรู้สึก ใช้ชีวิตเหมือนเคย นัดเพื่อนทานข้าว เดินซื้อของ และกลับไปทำงาน
เช้าวันนี้เธอเข้าทำงานตอนหกโมงห้านาที คลิกเมาส์เพื่อเช็คตู้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เธอได้รับจดหมายฉบับหนึ่งแนบไฟล์ข้อมูลขนาดไม่ใหญ่นักมาด้วย...เธอเปิดจดหมายออกมาอ่าน
2. ความบังเอิญ
ผมพบเธอครั้งแรกที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เธอมากับเพื่อนอีกสามคน ผมจำเธอได้เพราะเธออยู่ในชุดแสคสีแดง รวบผมเข้าด้วยกันเรียบร้อย เธอเดินขึ้นไปนั่งชั้นบนของร้านเพราะด้านล่างไม่มีโต๊ะว่าง เป็นธรรมดาสำหรับอาทิตย์ต้นเดือนที่ร้านอาหารในย่านนี้จะคลาคล่ำด้วยผู้คน ผมมองนาฬิกาอีกครั้ง สามทุ่มครึ่ง เธอและเพื่อนๆ ลงมาชั้นล่าง เธอได้โต๊ะตรงข้ามที่ผมนั่ง
เธอนั่งหันหลังให้ผม ผมมองออกไปนอกร้าน ผู้คนมิได้บางตาลงเลย บนทางเท้ายังคงมีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา ทำให้ผมนึกถึงฉากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องฟอลเลนแองเจิลส์ ของหวังเจียเหว่ย ขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ
ตอนนี้ผมกำลังตกงาน อาศัยเงินสะสมจากพ่อแม่ ไม่รู้จะทำอะไร อายุปาเข้าไปสี่สิบเอ็ดปี สมัครงานที่ไหนไม่มีใครรับ จะเริ่มต้นอะไรอีกครั้งรู้สึกมันยากกว่าตอนหนุ่ม ผมพยายามทำตัวให้ดีขึ้น แต่ก็เปล่า...ผมยังจมอยู่กับร้านกาแฟที่เคยไป ปรารถนาพบใครโดยบังเอิญ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนเก่า คนรักเก่า แต่ก็ไม่ ผมมิได้พบใคร พบตัวเองนั่งบนโต๊ะตัวเดิมเพียงลำพัง ร่ำสุราให้เวลาไหลผ่าน พบผู้คนหน้าเดิมๆ ทว่าไม่รู้จัก ผมมีชีวิตแบบนี้ห้าปีเต็มๆ ก่อนที่จะตกงานเสียอีก
หลังตกงานผมน่าจะได้เงินชดเชยสักสองเดือน แต่ก็ไม่ได้ บริษัทปิดไปแล้ว ปิดไปกับยุคที่ทุกอย่างมาง่ายไปง่าย ปิดไปพร้อมกระแสที่ถูกปั่นให้เป็นกระแส ตายไปกับกระแส ฟองสบู่แตก เศรษฐกิจดิ่งหัวปัก ค่าเงินบาทอ่อนลงทำลายสถิติ จากยี่สิบห้าบาทต่อหนึ่งดอลลาร์เพิ่มขึ้นมาเท่าตัว คนที่เป็นหนี้ธนาคารในต่างประเทศขาดทุนย่อยยับจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ในที่สุดบริษัทการเงินที่ไม่มีสถานะการเงินที่มั่นคงก็ถูกปิด ธนาคารแห่งประเทศไทยต่อสู้กับค่าเงินบาทเพื่อพยุงอัตราแลกเปลี่ยนให้คงที่จนทุนสำรองไม่มีเหลือ หนี้สินประเทศมีอยู่มากล้นพ้นตัว จนไม่สามารถบริหารงานได้ ต้องกู้เงินจากไอเอ็มเอฟ เพื่อรักษาเสถียรภาพการเงิน สะเก็ดแผลนี้ส่งถึงตัวผมโดยตรง บริษัทโฆษณาได้รับผลเป็นลำดับแรก ลูกค้าหมดความสามารถในการประชาสัมพันธ์สินค้าของตน บริษัทต้องลดพนักงานออกทันที ไม่มีการจ่ายเงินค่าทดแทน อยากได้ไปฟ้องศาลเอาเอง พนักงานที่เหลืออยู่กินเงินเดือนก็ลดลงไปมากกว่าครึ่ง หากไม่พอใจก็ต้องลาออก เพื่อนพ้องต้องขุดของเก่าออกมาขายทิ้ง สิ้นสภาพคนชั้นกลางผู้เฟื่องฟุ้ง ล้มละลายทางจิตวิญญาณ นี่กระมังที่ทำให้ผมไม่สามารถกลับไปทำอะไรได้อีก นอกเสียจากหวนไปสู่อดีตที่เคยรุ่งโรจน์ ด้วยยานอวกาศทางความฝัน จากเงินเดือนเดือนละหกหมื่นเจ็ดไม่หักภาษีนิติบุคคล ผมใช้ชีวิตอย่างกับราชันย์ ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย แอลกอฮอล์ ผู้หญิง และเที่ยว แต่บัดนี้หายลับไปกับตา
มีคนบอกว่าชีวิตช่วงหนึ่ง เมื่อถึงคราตกต่ำมันดิ่งลงไปยิ่งกว่าราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ และกว่าจะฟื้นไข้ฟื้นตัวอาจจะต้องอาศัยระยะเวลาเยียวยาพอสมควร อาจจะเป็นปี สองปี หรือตลอดชั่วชีวิต นึกแล้วยังสยองถ้าต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อเยียวยาความตกต่ำ วันทั้งวันคงไม่ต้องทำอะไรเป็นแน่แท้ แต่ผมคงไม่เป็นอย่างนั้นหรอก (หรือกำลังเป็น) “ชีวิตก็ชีวิตหนึ่งชีวิตเดียว” มิลาน คุนเดอลา เคยเขียนเอาไว้ ผมบอกตัวเองว่าหลังตกงานจะเปลี่ยนวิถีชีวิตตัวเองใหม่ ที่ผ่านมาการใช้ชีวิตที่แหลกเหลวไม่มีหลักประกันทำให้ผมอ่อนแอไร้พลัง
ภาพของเธอติดอยู่ในความทรงจำบางๆ เราอยู่ใกล้ชิดกันที่สุดตอนที่เราสวนกันบนทางเดินหน้าห้องน้ำ เวลานั้นเพลงราวด์ มิดไนท์ดังขึ้น เสียงทรัมเปตของไมล์ เดวิสเสียดแหลมผ่านช่องว่างอากาศ เต็มไปด้วยความหนืดและทิ้งห้วงให้คะนึงถึงอารมณ์เศร้า ผมอยากหยุดเวลาขณะนั้นเอาไว้ แต่เวลาผ่านไปรวดเร็ว ผมรู้ว่าความเป็นมืออาชีพของผมสูญหายไปจากตัวเองแล้ว ผมรู้ว่าชีวิตของผมมิได้เหมือนเดิม ผมเปลี่ยนไป อย่างน้อยผมรู้สึกว่าไม่สามารถทำสิ่งใดได้เช่นแต่ก่อน หรือเป็นเพราะผมสูญเสียความมั่นใจกันแน่
การว่างงานลดคุณค่าชีวิตลงไป จากที่คิดจะต่อสู้ก็พ่ายแพ้ แทนที่ผมจะเร่งหางานใหม่ ผมกลับเฉยชากับชีวิต ผมตื่นนอนตอนเที่ยง อ่านหนังสือพิมพ์ ดื่มกาแฟ ออนไลน์ คุยกับเพื่อนทางอินเทอร์เน็ต อาบน้ำ โทรศัพท์หาเพื่อนเก่า ไถ่ถามว่ามีงานอะไรน่าสนใจบ้าง ความเป็นตัวเองลดต่ำลงมาก ทว่าความถือดียังเต็มเปี่ยม เงินเดือนสูงค้ำฟ้าในอดีตทำให้ชีวิตจมไม่ลง ผมไม่สนใจเงินเดือนต่ำเตี้ยติดดิน จนกระทั่งผมไม่อยากโทร.ไปหาใครเพื่อถามหางานทำอีกเลย เดือนที่แล้วผมระงับการใช้มือถือ ไม่ใช่เพราะไม่มีเงินจ่าย แต่ไม่อยากให้ใครโทร.มากวน และไม่อยากโทร.ไปกวนใคร ผมรู้สึกชีวิตย่ำแย่ลงไป แม้เสียงของเพื่อนฝูงผมก็ไม่อยากได้ยิน
หลายสัปดาห์ก่อนมีงานน่าสนใจชิ้นหนึ่ง เป็นงานระดับสมัครเล่นก็จริง แต่น่าสนใจ...คือการประกวดภาพยนตร์สั้นแห่งชาติ ผมเคยฝันว่าจะกำกับหนังสักเรื่องสองเรื่อง สมัยเรียนคณะนิเทศ แม้จะเรียนเอกมาทางด้านประชาสัมพันธ์-โฆษณา แต่ก็มีเพื่อนจากสายภาพยนตร์มาชวนผมไปเขียนบททำหนังวิทยานิพนธ์
เพื่อนคนหนึ่งโทร.มาขอความช่วยเหลือ เพราะคิดว่าผมยังทำงานให้กับบริษัทโฆษณาบ้าๆ นั่นอยู่ ผมบอกไปว่าบริษัทปิดไปแล้ว ทนแรงเสียดสีของภาวะเศรษฐกิจไม่ไหว ลูกค้าหายหมด ปลดหนักงานไปก็มาก แต่ไม่สามารถพยุงสถานภาพให้เหมือนก่อนได้ เขาบอกว่าอยากให้ผมแนะนำสถานที่ตัดต่อฟิล์มขนาด 16 มิลลิเมตรให้เขา ผมบอกว่าแนะนำได้ แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว อาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง เขาบอกไม่มีปัญหา และชักชวนให้ผมเข้ามาร่วมในทีมงานด้วย แต่ผมยังแบ่งรับแบ่งสู้
ที่ผมแบ่งรับแบ่งสู้เพราะในเมืองไทยระบบการตัดต่อฟิล์ม 16 มิลลิเมตรที่สมบูรณ์ยังไม่มี ถ้าถ่ายด้วยฟิล์ม 16 มิลลิเมตรจะต้องเอาฟิล์มเนกาทีฟไปทำเวิร์คพริ้นท์ เพื่อเป็นต้นแบบในการตัดต่อ หากเป็นหนังเสียงในฟิล์มต้องนำเส้นเสียงมาตัดต่อเข้าพร้อมกัน จดหมายเลขฟิล์มส่งฟิล์มไปตัดเนกาทีฟ แล้วส่งเนกาทีฟไปพิมพ์เป็นฟิล์มทำต้นฉบับ แล้วถ้าหาสถานที่ตัดต่อเนกาทีฟที่ไว้ใจไม่ได้ ฟิล์มอาจจะเสียคุณภาพไปเป็นอย่างมาก ถึงขั้นภาพมีคุณภาพต่ำและแก้ไขอะไรไม่ได้เลย อาจจะเสียเงินไปฟรีๆ กับฟิล์ม แต่ถ้ามีเงินเหลือเฟือก็ส่งแล็บต่างประเทศ โดยเฉพาะที่ฮ่องกง หรืออีกวิธีหนึ่งที่วงการโฆษณาใช้กันคือไปตดต่อด้วยระบบวิดีโอเบต้า ซึ่งเรียกว่าเอวิต แต่ค่าใช้จ่ายสูงจนหน้าใจหาย
คืนหนึ่งหลังจากตื่นขึ้นมากลางดึก ผมนอนไม่หลับ อะไรหลายอย่างแล่นมากระทบจิตใจอย่างสะเปะสะปะ ผมคิดว่าตัวเองควรจะทำอะไรสักอย่างเพื่อลบร่องรอยเก่าๆ ที่มักจะปะทุขั้นมาใหม่ ผมอยากให้ชีวิตเก่าเว้นที่ว่างให้ชีวิตใหม่ อยากให้ความรู้สึกสดชื่นใหม่ๆ แทรกผ่านความเศร้าเก่าๆ ความกลัวเก่าๆ จะได้ไม่ทับถมจนกลายเป็นความกลัวประจำวัน ผมเชื่อว่ายังมีที่ว่างให้กับสิ่งใหม่แทรกผ่านตัวผม คืนนั้นผมจึงตัดสินใจทำงานสมัครเล่น...ตามที่เพื่อนเชิญชวน แม้จะไม่ได้มรรคผลทางด้านการเงิน แต่มันเยียวยาจิตใจที่ติดค้างในอดีตให้หวนคืน พูดให้เข้าใจง่าย การทำหนังจะปลุกเสือหลับให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณในการสร้าง ผมแนะนำว่าไม่ควรเลือกใช้ฟิล์มในการถ่ายทำ แม้เขาอยากจะใช้มากเพียงไรก็ตาม ผมสามารถหยิบยืมกล้องวิดีโอดิจิทัลจากเพื่อน ไม่จำเป็นต้องส่งฟิล์มไปล้าง เพราะกล้องดิจิทัลสามารถตัดต่อหนังพร้อมแทรกเสียงดนตรีประกอบโดยตรงจากเครื่องคอมพิวเตอร์ นอกจากนั้นผมยังชวนช่างกล้องที่มีประสบการณ์ทางด้านการถ่ายโฆษณามาช่วย ผมลงมือเขียนบทเอง เพียงสองวันผมได้บทอยู่ในมือ ส่งบทไปให้เพื่อที่เป็นผู้กำกับได้อ่าน เขาชอบมาก มีการแก้ไขบทร่วมกันนิดหน่อย จากนั้นเริ่มมองหานักแสดง เพื่อนและผมไม่อยากได้นักแสดงอาชีพ เพราะต้องนัดคิวกันวุ่นวายเสียเวลา และการใช้นักแสดงสมัครเล่น ง่ายต่อการติดต่ประสานงานมากกว่า
ถึงผมจะรู้ว่าตัวเองเป็นพวกนักสร้างสรรค์เก๊ๆ แต่งานสมัครเล่นแบบนี้เอื้อให้ผมแสดงฝีมือได้เต็มที่ แสดงความคิดแรงๆ ได้ แสดงความเขื่องของรอยหยักในสมอง แสดงมุมมองที่ไม่เหมือนใคร ผมคุยกับช่างกล้องหลังจากที่เขาได้อ่านบทแล้ว เรานัดกันคร่าวๆ ว่าจะเปิดกล้องได้เมื่อไหร่ และนัดคุยกันในรายละเอียดที่ร้านอาหารแห่งนั้น...
เจมส์ ช่างกล้อง ผมนัดมาตอนสี่ทุ่มห้านาที เขาเพิ่งถ่ายโฆษณาเสร็จก็บึ่งรถมาหาผมทันที เราเคยร่วมงานกันหลายครั้ง เขามีมุมมองทางศิลปะมากกว่าผมด้วยซ้ำ แต่ภาพที่เราเห็นในโฆษณามักจะต้องผ่านการกลั่นกรองด้วยสายตาของนักประชาสัมพันธ์ ผมไม่รู้ว่าเราจะทิ้งคราบพวกมีเดียสินค้าไปได้หรือไม่ บางทีมันอาจจะติดอยู่กับเรา-ติดกับดัก-ของตนเอง แต่จะมีความหมายอันใด
ตอนที่เจมส์มาถึง เธอยังคงนั่งคุยกับเพื่อน สูบบุหรี่ ดื่มไวน์ ดื่มชา ผมเห็นเธอเพียงข้างหลัง เห็นกระจุกที่รวบเอาไว้เรียบร้อย เจมส์ถามผมว่า “พี่ได้นักแสดงหรือยัง” ผมส่ายหน้า เขาไม่เข้าใจว่าทำไมผมไม่หาเสียที ทั้งที่ผู้กำกับกำหนดวันเปิดกล้องเรียบร้อย แผนการเตรียมเอาไว้อย่างดีเพื่อไม่เป็นภาระค่าใช้จ่าย แต่นักแสดงของเรื่องยังหาไม่ได้สักคน
“เรามีเวลาอีกสองอาทิตย์” ผมบอก
“รีบถ่ายก็ดีนะพี่ ปลายเดือนผมต้องไปอันดามัน ถ่ายโฆษณายาสระผม”
บทหนังของผมใช้นักแสดงเพียงสองคนคือ ชายหนึ่งคน หญิงหยึ่งคน มันเป็นบทง่ายๆ เรียบๆ เป็นเรื่องของชายไร้รักที่กำลังตามหาหัวใจกลับคืนมา เขาไม่เคยแสดงออกว่ารักใคร เป็นคนเฉิ่ม เข้าขั้นน่าเบื่อ วันๆ ทำแต่งาน ไม่เที่ยว ไม่ดื่ม ไม่สูบบุหรี่ เพื่อนร่วมงานไม่รู้ว่าเขามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร แต่มีผู้หญิงคนเดียวที่เขารัก ทว่าไม่เคยเผยให้เธอรู้มาก่อน แล้ววันหนึ่งเขาได้รับการตรวจสุขภาพตามระเบียบบริษัท เขาพบว่าตัวเองเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ต้องได้รับการผ่าตัด ไม่อย่างนั้นอาจจะเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจเฉียบพลัน ทางบริษัทรู้ว่าเขาเป็นโรคหัวใจจึงปลดเขาออกจากงาน เขายอมรับชะตากรรม ไม่คิดจะรักษา หวังจะใช้เงินที่เก็บได้เดินไปรอบโลกให้ไกลที่สุด ก่อนเดินทางเขาบอกความในใจกับคนที่เขาหลงรัก ทั้งที่เธอไม่เคยมองเห็นเขาอยู่ในสายตา เป็นเพียงเพื่อนร่วมงานธรรมดาคนหนึ่ง เรื่องจะจบลงที่ทั้งสองจากกัน หลังจากที่เขาบอกความในใจ หนังจะไม่นำเสนออารมณ์หรือความรู้สึกใดที่ปรุงแต่ง ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นรสชาติใหม่ของหนัง
“งานนี้พี่เอากล่องอย่างเดียว” เจมส์ยังคงถามตรงๆ
“งานสมัครเล่นน่ะ ทำสนุกๆ” ผมพูดเบาๆ ไม่มั่นใจว่าจะทำหนังออกมาได้ดีเพียงไร การทำหนังมีหลายปัจจัยที่เป็นความเสี่ยงสู่เส้นทางล้มเหลว สาเหตุจริงๆ ที่ผมอยากทำหนัง น่ามาจากผมอยากมีอะไรทำมากกว่า เพื่อไม่ปล่อยให้ชีวิตมันจมดิ่งไปมากกว่าที่ควรจะเป็น
“เจมส์...วันสองวันนี้อาจจะได้นักแสดง” ผมโพล่งขึ้นมา
“อ้าว พี่ยังหานักแสดงยังไม่ได้เลยไม่ใช่หรือ” เสียงของเขาระคนแปลกใจ
“ผู้หญิงชุดแดงข้างหลัง” ผมพูดเบาๆ ไม่แน่ใจว่าเจมส์ได้ยินหรือไม่ เพราะเสียงเพลงในร้านดังขึ้นกว่าปกติ
ความรักไม่ใช่ความบังเอิญ ผมเคยเถียงกับคนรักเก่าว่าไม่ใช่เช่นนั้นเสมอไป เธอยังบอกว่าความรักเป็นความบังเอิญไม่ได้ ความรักต้องมีที่มาที่ไป ความรักต้องเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ ความรักต้องเต็มไปด้วยความเข้าอกเข้าใจ และความอะไรอีกหลายพันอย่างเท่าที่เธอจะสรรหามานิยาม แต่ผมตั้งป้อมของผมตลอดเวลาว่า อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่าความรักเป็นความบังเอิญอยู่วันยังค่ำ เป็นความบังเอิญที่ทำให้ผู้ชายกับผู้หญิงคู่หนึ่งมาพบกัน บังเอิญทำให้ผู้หญิงต่อผู้หญิงคู่หนึ่งมาพบกัน บังเอิญทำให้ผู้ชายต่อผู้ชายคู่หนึ่งมาพบกัน แล้วในที่สุดผมกับคนรักเก่าก็หยุดเดินร่วมกัน โดยใช้เวลารู้จักกันเพียงแค่หนึ่งปีสามเดือน เมื่อความรักมาถึงทางแยก เพื่อที่จะเดินหน้าต่อไปสู่การแต่งงาน ไปสู่การสร้างครอบครัว ความรักได้เลือนหาย กลายเป็นความรับผิดชอบ จากนามธรรมแห่งรัก กลายมาเป็นรูปธรรมของสังคม คนรักเก่าพาผมไปรู้จักคนในครอบครัวของเธอ ไปมาหาสู่กันทุกสัปดาห์ ผมต้องเล่นกับหลานของเธอ แสดงละครให้เห็นว่าผมเป็นคนรักเด็ก ต้องทำตัวไม่เสเพล เป็นคนดี เป็นผู้นำครอบครัวที่หนักแน่น ซึ่งมันไม่ใช่เลย ผมไม่เคยรักเด็ก ชอบใช้ชีวิตกลางคืน ชอบมีเซ็กซ์กับหญิงสาวแปลกหน้าจากงานปาร์ตี้ มันทำให้ผมรู้ว่าตัวเองไม่เหมาะ ไม่เหมาะที่จะมีความรักแบบนี้ ผมพ่ายแพ้และยอมเดินออกมา ผมรู้ว่าควรจะจบความรักนี้ให้เร็วที่สุด ความรักเป็นความบังเอิญแท้จริง ทว่าสถานภาพทางสังคมมิใช่เช่นนั้น แม้จะรู้ว่าเธอเจ็บปวด และผมไม่ต้องการอย่างนั้น แต่ถ้าเราเดินทางร่วมกันนานเกินไปจะเจ็บปวดยิ่งกว่านี้
ความรักในครานั้นทำให้ผมคิดว่าผมจะรักใครยากขึ้น ผมจะไม่ให้ความบังเอิญมาทำให้เรากลายเป็นอื่นจากวันแรกที่ได้พบกัน
คืนนั้นระหว่างที่ร้านกำลังจะปิด ลูกค้าทยอยกันออกจากร้าน พนักงานเริ่มปิดไฟทีละดวง เก็บโต๊ะทีละโต๊ะ เหลือโต๊ะของผมและของเธอที่ยังคงดื่มกันอยู่ เจมส์ดื่มไปพอสมควร เขาเกือบจะหลับพับคาโต๊ะ ส่วนผมก็อยู่ในอาการเดียวกัน แต่พอยังครองสติได้อยู่
พอหญิงสาวในชุดแดงและเพื่อนของเธอทำท่าจะออกจากร้านอ ผมบอกให้เจมส์รออยู่ที่โต๊ะ แล้วเดินตามกลุ่มของพวกเธอออกไปที่หน้าร้าน
“รอสักครู่ครับ” ผมเรียก พยายามสะกดเสียงไม่ให้รัว
ทั้งหมดหยุดยืนอยู่ที่ริมทางเท้า ทุกคนทำท่างงๆ สงสัยต่อกิริยาของผม
“คืออย่างนี้นะครับ ผมกำลังสร้างหนังส่งประกวดเรื่องหนึ่ง อยากได้น้องชุดแดงมาเล่น” ผมพูด พวกเธอมองหน้ากันเลิกลั่ก นอกจากไม่เคยรู้จักผมมาก่อน แถมยังเปิดเรื่องสนทนาด้วยเรื่องแปลกๆ ผมจึงส่งนามบัตรให้ นามบัตรที่มีแต่ชื่อ พิมพ์ด้วยหมึกสีแดง บนกระดาษขาว
“ผมจะเปิดกล้องในสองอาทิตย์นี้นะครับ อาจจะกะทันหันไปตัดสินใจลำบาก แต่ถ้าตกลงใจยังไงโทร.หาผมนะครับ หรือไม่ก็อีเมลมาบอก” ผมพูดพร้อมเขียนเบอร์โทร.และอีเมลให้เธอ แล้วก็หันหลังกลับ ผมไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้
บทหนังถูกส่งไปให้เธออ่านทางอีเมล เธออ่านบทแล้วตกลงใจแสดง มีบทพูดนิดหน่อย ส่วนนักแสดงชายผมเลือกเพื่อนสมัยเรียนคนหนึ่งมาเล่น
การทำงานของเราราบรื่น ผมกับเธอนัดมาคุยกันเรื่องบทในสามวันต่อมา เราพบกันมากขึ้น คุยกันมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น เธอบอกว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่เราบังเอิญพบกัน ผมก็คิดอย่างนั้น ชีวิตต้องอาศัยจังหวะ อาศัยเวลา ยิ่งการสัมพันธ์กับคนอื่นด้วยแล้วยิ่งต้องอาศัยความเข้าใจ หลังตกงานทำให้ทัศนคติของผมเปลี่ยนไปพอสมควร อย่างน้อยผมคิดว่าต้องมีงานทำ อย่างที่สองผมรู้สึกว่าการมีชีวิตหงอยเหงาลำพัง เป็นความท้าทายที่ไร้แก่นสาร การมีเพื่อนหญิงที่คุยกันรู้เรื่องทำให้ชีวิตสมบูรณ์ขึ้น
เมื่อได้เจอหญิงสาวทำให้ผมรู้สึกหวั่นไหว ผมคิดไม่ออกว่ามันเป็นความรู้สึกอย่างไรแน่ แต่ความรู้สึกนี้ทำให้ผมปั่นป่วนและทุบผมอย่างแรงขณะที่ผมคิด
อายุของผมมากขึ้น คิดหวังว่าอยากจะมีครอบครัวเป็นตัวของตัวเองครั้งนี้เป็นครั้งแรก ผมปฏิเสธเสมอว่าไม่ปรารถนาแต่งงานสร้างครอบครัว ผมเคยลองกับชีวิตคู่มาแล้วกับแฟนคนเก่า และความสัมพันธ์นั้นก็ไปไม่รอด ทั้งที่เธออยากจะให้เราแต่งงานกัน ไม่มีครั้งใดที่ผมรู้สึกแบบนี้ ผมบอกตัวเองว่าเธอคือเป้าหมายของผม ผมตั้งใจจะสานต่อสัมพันธ์จากเพื่อนร่วมงานไปสู่สัมพันธ์ที่หนักแน่นขึ้น เธอมาจุดประกายในสิ่งที่ผมไม่เคยเชื่อ ผมอยากหางานใหม่ทำ อยากสร้างชีวิตใหม่ อยากสร้างครอบครัว อยากหลุดไปให้พ้นจากร้านเหล้าและความเหงาของค่ำคืน
ทำหนังเสร็จผมตกลงใจเปิดธุรกิจเป็นเอเจนซี่โฆษณาเอง โดยอาศัยเพื่อนๆ ที่ยังอยู่ในวงการป้อนงานที่ทำไม่ทันมาให้ อาศัยเส้นสายที่หยั่งลึกในวงการโฆษณามาอย่างยาวนานสร้างรากฐานบริษัทตัวเองให้รุ่งโรจน์ ผมตั้งใจว่าจะสร้างฐานะของตนเพื่อเธอ
หลังจากทำหนังสั้นเรียบร้อยแล้ว เราคุยกันทางโทรศัพท์บ้าง เขียนจดหมายผ่านทางอีเมล คุยกันทางไอซีคิวมากขึ้นยามออนไลน์ตรงกัน
เรานัดทานข้าวด้วยกัน เธอพูดคุยเรื่องงานให้ผมฟัง ส่วนผมบอกว่ากำลังจะเริ่มต้นงานใหม่ในเดือนสองเดือนนี้ เธอทำท่าสนใจ แต่ดูเหมือนอะไรบางอย่างขวางเราอยู่ มันเป็นกำแพงที่มองไม่เห็น เวลาเราคุยกันผ่านทางอินเทอร์เน็ต เรามักคุ้นกันมากกว่าคุยกันจริงๆ เวลาเราพบกันดูเธอเศร้ากว่าที่ผมรู้สึก ความสัมพันธ์ของเราไม่ไปถึงไหน ผมเรียกภาวะแบบนี้ว่า อ้ำอึ้งเกินบรรยาย
วันหนึ่งผมนำหนังสั้นที่ตัดต่อเรียบร้อยแล้วไปเปิดโชว์ที่ร้านอาหารของเพื่อน ในงานนั้นมีบรรดาเพื่อนผองหลายคนของเธอมาชม ผมสังเกตเห็นเธออยู่ในอาการเศร้าซึม แม้แต่คุยกับเพื่อนของเธอเอง เธอยังเหมือนอยู่คนเดียวในโลก หลายคนชอบหนังเรื่องนี้มากแม้จะบ่นว่าเรียบเกินไป แต่ตอนจบเรื่องทุกคนก็ปรบมือชื่นชมด้วยใจจริง หลังงานเลิก ผมพยายามจะคุยกับเธอลำพังบนทางเดินก่อนเข้าห้องน้ำ เธอขอตัวกลับ บอกอยากอยู่คนเดียว
ฝนในเดือนพฤษภาคมหลงฤดู กระหน่ำลงมาอย่างหนัก ราวเที่ยงคืน ผมกางร่มไปยืนเรียกแท็กซี่ให้เธอที่ริมถนน แท็กซี่เปิดไฟเลี้ยวเทียบรถจอดริมทางเท้าอย่างเชื่องช้า ผมเปิดประตูให้เธอขึ้นรถ มองใบหน้าเธอผ่านกระจกซึ่งแต้มด้วยหยดน้ำ แท็กซี่จากไป ภาพของเธอหายไปจากจักษุขณะกะพริบตา
ชีวิตโรยราลงไปตามวันเวลาราวฉีกปฏิทิน มองนาฬิกาอยากให้หวนคืน ผมขึ้นแท็กซี่กลับบ้าน จริงๆ แล้วเรามิได้รู้จักกันอย่างจริงจัง เป็นเพียงผิวเผิน เธอเป็นเพียงเพื่อนร่วมงานที่บังเอิญมาพบกันในช่วงเวลาที่พอเหมาะ ใครคนหนึ่งบอกผมว่าความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ถ้าเป็นเรื่องของคนคนเดียวก็เป็นเพียงการเพ้อฝัน บางทีความสัมพันธ์ของเราอยู่ห่างไกลจากตัวเรามากยิ่งขึ้น มันอาจจะไม่ใช่ความรักเลยด้วยซ้ำ มันเป็นเพียงอารมณ์และความอ่อนไหวของตัวเราเพียงลำพัง
ผมยังจำวันแรกที่พบเธอได้เป็นอย่างดี เราพบกันครั้งแรกใกล้ชิดกันที่สุดตอนราวๆ เที่ยงคืน ขณะที่เพลงราวด์มิดไนท์ดังขึ้น ขณะที่เสียงทรัมเปตของไมล์ส่งต่อท่วงทำนองให้จอห์น โครลเทรน เป่าแซ็กโซโฟนด้วยน้ำเสียงเศร้าซึม เวลานั้นเราสวนกันบนทางเดิน...ผมหลงรักเธอในเสี้ยววินาทีนั้น...
หนึ่งเดือนต่อมา เธอส่งอีเมลฉบับหนึ่งถึงผม มีข้อความดังนี้
สวัสดีค่ะพี่
ตอนนี้เราอยู่ที่เกาะกวม ขอโทษที่ไม่ได้บอกล่วงหน้า ความจริงเรากำลังจะแต่งงาน สองเดือนที่ผ่านมานี้เรารู้สึกอึดอัดพอสมควร ไม่อยากคุยกับใคร ไม่มีคนเข้าใจ ดีใจที่ได้ทำงานกับพี่ มีความสุขส่วนหนึ่งที่ไม่ได้บอกเรื่องแต่งงาน เพราะเหตุผลหลายประการ ในหลายเหตุผลนั้นมีพี่อยู่ด้วย หวังว่าพี่คงไม่โกรธ
มาอยู่ที่นี่หนึ่งอาทิตย์แล้ว มีแต่แดดและทะเล ผิวคงคล้ำขึ้น ปีหน้าอาจจะแวะมาเมืองไทยก่อนจะบินไปอเมริกา ถึงเวลานั้นเราคงได้พบกัน
รักษาสุขภาพ
น้องของพี่
-----
ตีพิมพ์ครั้งแรก: เนชั่นสุดสัปดาห์ 2542
เขียน: 3 มิถุนายน 2542
Comentarios