ร่างหลายวิญญาณ
“ไม่รู้พี่เป็นไรเฉียบ กินทั้งวันเลย” พี่เฉิด พี่ชายของผมที่อายุห่างจากผมสองปีกล่าวขึ้น ผมสังเกตเห็นว่าพักหลังมานี้ตั้งแต่พี่สึกพระมักจะกินจุขึ้น
“กินเพราะหิวหรือเพราะอยากล่ะ” ผมถาม “ตอนบวชพระผอมกะหร่อง แต่พอสึกมาบวมฉุเลย”
“นั่นน่ะสิ”
อาการของพี่เข้าเค้าว่าอาจจะมีจิตวิญญาณอื่นแฝงตัวอยู่ในร่างกาย บังเอิญว่าก่อนวันที่พี่เฉิดเอ่ยปากเรื่องนี้กับผมนั้นผมเพิ่งเสียบหูฟังฟังเทศนาของหลวงพ่อลี ธมฺมธโร เรื่องจิตวิญญาณพอดี ซึ่งเมื่ออนุมานจากพฤติกรรมอันผิดแปลกจากปกติของพี่ชายกับข้อมูลจากท่านพ่อลีแล้ว ผมจึงลงความเห็นว่าจิตวิญญาณดวงอื่นคงจะเข้าไปอาศัยร่างกายของพี่เฉียบอยู่ซะแล้ว
“แก้ไขได้มั้ย” พี่เฉียบถาม ขณะที่ปากยังเคี้ยวขนมปังไส้ถั่วดำ
ผมมองอาหารของวิญญาณอื่นที่พี่ชายกินเข้าไป แน่ใจว่ามันสนองความอยากของจิตวิญญาณแฝง แล้วให้คำแนะนำไปตามตำรา“ไม่แน่ใจ ผมคิดว่าคงต้องให้อาหารแก่จิตวิญญาณที่แท้จริงของตัวเอง อดทนอดกลั้นไม่สนองตัณหาของวิญญาณอื่น แค่นี้น่าจะพอนะผมว่า”
มิใช่ว่าผมจะคล้อยตามท่านพ่อลีไปทุกประเด็น ความสงสัยของผมก็มีอยู่ว่า จิตวิญญาณเดิมแท้ของมนุษย์นั้นสะอาดใสจริงหรือ ท่านพ่อลีบอกว่าจิตวิญญาณแอบแฝงในร่างกายเรามีทั้งดีและไม่ดี มีทั้งเห็นด้วยและขัดแย้งกับการปฏิบัติของเรา จิตวิญญาณบางดวงอาจใช้ร่างกายเรากระตุ้นให้เราประกอบคุณงามความดีเพื่อที่มันจะได้บุญกุศลไปด้วย แต่บางจำพวกก็แสวงหาแต่ความรื่นรมย์สนองผัสสะของตน ส่วนจิตวิญญาณดั้งเดิมดวงเดียวที่เวียนว่ายตายเกิดของเราจะเลวร้ายไม่ได้เชียวหรือ หรือหลวงพ่อจะบอกว่าความเลวร้ายต่างๆ ในโลกนั้นเกิดจากความเผลอไผลของจิตวิญญาณ ความไร้สติสัมปชัญญะทำให้หลงทำอกุศล แต่แล้วผมก็เข้าใจว่าจิตวิญญาณเดิมแท้เป็นเหมือนจิตใจไร้เดียงสาของเด็กเล็กๆ เป็นดั่งผ้าขาว จิตใจเช่นนี้ไม่อาจพาไปสู่สวรรค์นิพพานได้ แต่เป็นจิตที่พร้อมจะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้อย่างดี ทว่าเมื่อเติบโตขึ้นมากเท่าไหร่ก็มีจิตวิญญาณอื่นเข้าแทรกเรียกร้องให้ทำตามความต้องการของมันมากเท่านั้น ผู้ไม่รู้ก็ยึดถือเอามาเป็นตัวเป็นตน เป็นความต้องการของตัวเอง จึงหลงเหลี่ยมวิญญาณอื่น ใช่แล้ว ท่านพ่อลีพูดถูก จิตวิญญาณเดิมแท้เหมือนผ้าขาวที่รอการปฏิบัติยกตัวเองสู่ภพภูมิที่สูงขึ้นไป
“วิญญาณที่อาศัยร่างพี่อยู่อาจจะหิวโหย จึงสั่งให้พี่กินจุแต่ไม่รู้จักอิ่มจักพอเสียที ถ้าเราเข้าใจเรื่องแค่นี้ได้ ผมคิดว่าเราจะเข้าใจธรรมะระดับสูงได้เลยนะ” ผมพูด
“นี่เอ็งจะให้ข้าเข้าใจว่า ถ้าตรึกตรองเรื่องนี้ดีๆ เรื่องวิญญาณแฝงกินในร่างข้านี่น่ะ สามารถทำให้หลุดพ้นได้เชียวหรือ”
“มันเป็นตัณหาไง ความคิด อัตตา อารมณ์ต่างๆ มันไม่ใช่ของเราไง เมื่อเรายึดจึงเป็นทุกข์ มันไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการจริงๆ มันเป็นของคนอื่น มันเป็นสิ่งที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอดเวลา”
“นี่เอ็งกำลังพูดอยู่กับทิดสึกใหม่นะเนี่ย แล้วอะไรล่ะที่เป็นของเราจริงๆ”
“อิสระจากความยึดติดไง”
“สาธุ”
“พี่ถ้าอยากให้พี่เชื่อ อย่างน้อยต้องมีข้อพิสูจน์” พี่เฉิดกล่าวกับผมหลังจากกลับจากทำงาน
“ไม่จำเป็นหรอก ถ้าพี่แค่อยากพิสูจน์ว่าผมพูดไม่จริง” ผมตอบ
ผมทานข้าวเย็นแล้ว โดยทั่วๆ ไป เมื่อเรียนเสร็จไม่ว่าจะมีเรียนเช้าหรือบ่าย เรียนหนักหรือไม่หนัก ผมก็มักจะวนเวียนอยู่ภายในมหาลัย โดยเฉพาะการขลุกอยู่ในห้องสมุด แต่พี่เฉิดคงจะยังไม่ทานข้าวเพราะดูท่าแกจะลงไปหาของกินอีกแล้ว
“นี่พี่ทานข้าวแล้วเหรอ”
“รออะไรล่ะ แต่มันหิวอีกแล้วนิ” คนที่พูดก็ดูตกอกตกใจเหมือนกันว่าทำไมหิวเร็วเช่นนี้ ทั้งที่เพิ่งทานข้าวไปไม่ถึงชั่วโมง พี่เฉิดคงทานไม่อิ่มกระมัง ผมคิด
“พี่ไม่ได้อยากจะพิสูจน์ว่าข้อสันนิษฐานของเอ็งผิดหรือถูก คือพี่รำคาญตัวเอมากกว่า มันกินเยอะจนเมื่อยปาก ไม่หิวก็กิน กินไม่อิ่มสักที” พี่ชายระบายความรู้สึก ดูท่าเขาคงจะต้องการทางออกเสียเต็มประดา “พาพี่ไปหาหมอผีหน่อยสิ”
ผมหันเก้าอี้ไปทางพี่ชายที่นั่งอยู่ปลายเตียงเตรียมเปิดประตูเขาชะงักเมื่อผมพูดขึ้น “สิ่งที่พี่กินแน่นอนมันไม่ใช่สิ่งที่ชอบใช่มั้ย พี่ไม่กินหมูมันๆ อันนี้ผมรู้ พี่กลัวอ้วนเผละใช่มั้ย แล้วพี่ก็ไม่กินแตงโมเพราะตอนเด็กๆ แม่บอกว่าพี่ฉี่รดที่นอนบ่อยเพราะกินแตงโมบ่อยจนถูกพ่อตีเสียเข็ดหลาบ พี่เลยไม่ต้องแตงโมนับจากนั้นใช่มั้ย”
เขาพยักหน้า
“ทีนี้ ปลาชะโดของพี่เนี่ย พี่ก็ให้อาหารมันมิได้ขาด” เขาทำหน้าอิหลักอิเหลื่อ “ผีในตัวพี่นี่ยังบ้ากามอีกต่างหาก นี่กี่ตัวแล้วก็ไม่รู้ อาจจะเป็นตัวเดียวกันก็ได้ใครจะรู้”
“รู้ได้ไงวะ” พี่เฉิดซัก เขามักจะปิดบังประเด็นเรื่องความสัมพันธ์กับผู้อื่น การที่ผมรู้เรื่องนี้ทำให้เขายิ่งร้อนปานถูกจี้ก้น แต่ก็ยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือของผมยิ่งขึ้นไปอีก
ผมตั้งสติ เริ่มต้นเรียบเรียงทีละประเด็น “ทีละเรื่องนะ เรื่องกินก่อนนะ พี่เห็นยัยผู้ดูแลหอพักมั้ย ผมไม่สามารถล้วงความลับของห้องที่เราพักอยู่ได้เลย ส่วนยามก็ปากหนักเช่นกัน บอกไม่มีเรื่องอะไร ผมไม่ได้เล่าอาการผิดปกติที่พี่เจอหรอก เมื่อไม่อยากบอกผมก็ไม่ถามดีกว่า นั่นหมายความว่าผมได้ข้อมูลจากแม่บ้านเรียบร้อยแล้วนั่นเอง”
“เรื่องมันเป็นยังไง” เขาถามด้วยความร้อนรนอยากรู้ ผมยิ้มแล้วพูดว่าพูดให้ฟังแล้วอย่ากลัวจนย้ายหนีล่ะ เขาตอบว่า ไม่กลัว ดังนั้นผมจึงบอกเขา
“แม่บ้านเล่าว่าก่อนหน้าที่เรามาอยู่มีข้าราชการชายโสดเช่าอยู่ก่อน อยู่จนหมดสัญญาหกเดือนก็เตลิดไปอยู่ที่อื่น ผู้เช่าก่อนหน้าเขาเป็นสาวออฟฟิศหญิงโสดอีกเหมือนกัน รายนี้หนักหน่อยอยู่สามเดือนก็ชิ่งออกไป เอาล่ะ ต้นตอของเรื่องมันเกิดจากพนักงานบริษัทเอกชนรายหนึ่ง สมมติว่าชื่อซีก็แล้วกัน หญิงคนนี้อายุเลยวัยสาวไปแล้วแต่ยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนก็เพราะรูปร่างเจ้าเนื้อของแกนั่นเอง แม่บ้านสังเกตว่าเช้าทุกๆ วันหล่อนจะตื่นแต่เช้าไปซื้อหมูปิ้งมาสวาปามที่ห้องก่อนไปทำงานเสมอ ส่วนตอนเย็นแม่บ้านที่รู้จากยามว่าหล่อนก็กลับมาพร้อมหมูย่างเป็นประจำ คงจะมีแตงโมมาด้วยกระมังดูท่าแล้ว กระทั่งแม่บ้านไม่เห็นเธอตอนเช้าหลายวันเข้า อีกทั้งได้กลิ่นเหม็นโชยออกมาจากห้องซี แม่บ้านจึงแจ้งผู้ดูแลหอพัก ผู้ดูแลหอพักจึงแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ พวกเข้าไปในห้องพบว่าหล่อนเป็นศพไปแล้ว”
พี่ชายตาเบิกโพลง เขามีคำถาม “หล่อนตายเพราะอะไร”
“อาหารอุดตันหลอดลมตาย คาดว่าคงจะกินจนแทบไม่อยากหายใจน่ะ จงไปสู่สุคติเถิดคุณเอ๊ย”
“ขนลุกเลยว่ะเฉิด เอ็งนี่รู้ซอกแซกจริง แล้วพี่จะต้องเลี้ยงหล่อนอย่างนี้เหรอ” แววตาของเขาแสดงความรู้สึกวิตกกังวล ด้วยกลัวว่าตัวเองจะควบคุมความอยากของวิญญาณตนนี้ไม่ได้
“เพื่อให้แน่ใจผมเลยไปหาหมอดูที่ผมนับถือคนหนึ่ง ผมให้เวลาตกฟากของพี่ไป เขาจับมือผมแล้วบอกว่ามีวิญญาณมากกว่าหนึ่งสิงอยู่ในตัวพี่ มันควบคุมกิจกรรมทุกๆ ด้านของพี่ วิญญาณที่ดีก็ดีไป แต่วิญญาณร้ายนั้นมันจะทำให้พี่ไขว้เขวเมื่อคิดจะทำความดี เช่นเมื่อพี่อยากสวดมนต์มันก็หันเหจิตใจพี่ให้คิดถึงรูปร่างอันเย้ายวนของผู้หญิงที่พี่เคยหลับนอนด้วย หรือไม่ก็คิดถึงเรื่องกิน มันหลอกหลอนพี่ด้วยรูป รส กลิ่น เสียง พี่จึงรู้สึกวอกแวกตลอดเวลา พี่สนองตัณหามันโดยคิดว่ามันเป็นตัวตนของพี่เอง เข้าเค้าหรือยังพี่”
“เออจริง” เขาพยักหน้า ใบหน้าซีดเซียวของเขาที่มองผมดูน่าสงสารเหมือนคนที่ขาดที่พึ่งหลังถูกทรมานทางจิตใจอย่างสาหัส
“เรื่องแบบนี้ดูเผินๆ เหมือนไม่มีอะไร กลับดูเป็นเรื่องสามัญของมนุษย์เสียด้วยซ้ำ กิน ขี้ ปี้ นอน ไม่เห็นมีอะไรแปลก ถ้าพี่ไปเล่าให้คนอื่นฟัง เขาก็มีแต่จะว่าพี่เสียสติ เป็นพวกยูโทเปีย ไม่ยึดโยงความจริง”
“หมอดูเขาบอกวิธีแก้ไขให้มั้ย”
“วิธีแก้…” ผมลากเสียงยาว “สิ่งที่เราเป็นจะดึงดูดสิ่งที่เหมือนกันเข้ามา ทำกิจที่เป็นกุศลทรมานกิเลส ลดตัณหาลงทีละน้อยเพื่อจะได้ไม่เกิดอาการอาฟเตอร์ช็อกแรง ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เมื่อบ้านของมันคือร่างกายของพี่สะอาดขึ้น วิญญาณที่สกปรกก็จะออกไป เหลือไว้แต่วิญญาณดีๆ วิญญาณดีๆ ก็อาจจะเป็นเทวดานางฟ้าได้ถ้าร่วมทำบุญกุศลกับพี่ แต่ถ้าพี่อยากให้เร็ว และพี่ใจแข็งพอ พี่ก็หักดิบได้ แต่อาจารย์ผมไม่อยากให้ทำถ้าไม่จำเป็น”
พี่เฉียบพนักเพยิดชั่วครู แล้วกล่าวขึ้นอย่างมั่นใจว่า “พี่จะหักดิบ”
“พี่ใจร้อนไปนะ”
ผ่านมาสองวันแล้ว เขากินข้าวสามมื้อเหมือนเดิม แต่กับข้าวไม่มีหมูสักมื้อ ไม่มีทั้งแตงโม ตกกลางคืนเขาเริ่มมีอาการพลิกตัวไปมาตั้งแต่หัวถึงหมอนเพราะความหิว เสียงท้องร้องดังโครกครากๆ ผมสารเขาจับใจ ในใจคิดว่าในเมื่อเล่นแรงก็จะต้องเจอแรงสะท้อนกลับที่แรงแน่นอน ผมดูอาการของเขาแล้วดูท่าคงจะทานไว้ไม่ไหวแน่ แต่เขาก็ยังดื้อด้าน
เขาไม่แตะต้องเพศตรงข้ามด้วยเช่นกัน แม่ร่างกายเรียกร้อง เขาไม่ช่วยตัวเองเสียด้วยซ้ำ น่านับถือจริงๆ ผมคอยดูว่าเขาจะทนได้สักกี่น้ำ เหตุการณ์จะเป็นเช่นไร
เขาเริ่มเพ้อเหมือนคนฝันร้ายหลายครั้ง ผมปลุกเขาตื่นจากฝันหลายครั้ง เหงื่อกาฬโซมกายทำเสื้อผ้าเปียกซึม ผมเดินไปเปิดแอร์แต่เขาห้ามไว้ บอกต้องทรมานมันให้ถึงที่สุด ให้มันเข็ดหลาบจนไม่กล้ายุ่ง เราจึงอาศัยความเย็นจากพัดลมส่ายไปส่ายมา ผมต้องออกไปอยู่ตรงระเบียงชั่วครู่ ที่นั่นลมพัดเบาๆ พอช่วยได้บ้าง กลับมานอนที่เตียง ผมเห็นสภาพพี่ชายดูแปลกพิกล เหมือนกับว่าเขาอยากจะลืมตาแต่ทำไม่ได้ ผมเห็นแต่ตาขาวเสี้ยวหนึ่ง แขนขาก็ราวกับถูกกดด้วยแรงมหาศาลเมื่อพิจารณาจากอาการส่ายของลำตัวที่พยายามลุกขึ้น ส่วนปากพึมพัดออกมาไม่เป็นภาษา อู้อี้อยู่ในลำคอ เขาพูดไม่ได้ ร่างกายเหมือนคนเป็นอัมพาต
เห็นท่าไม่ดีผมลุกไปเปิดไฟสว่างโร่ทั้งสองดวง ผมเห็นลิ้นเขาขยับเหมือนอยากจะพูด ผมได้แต่เขย่าตัวของเขา ไม่นานเขาก็สะบัดหลุด ดีดตัวผึงขึ้นมา ทำเอาผมตกใจเหมือนเจอศพที่ร่างหดเกร็งลุกขึ้นมานั่งหน้าตาเฉย ผมถามว่าเกิดอะไรขึ้น เขาบอกว่าเห็นร่างใหญ่ๆ มาทับตัวเขาไว้
“ไอ้ผีร้าย ผีนางคนนั้นแน่ มันมาทับตัวพี่ ไม่ให้พูด ไม่ให้ขยับ มันตะโกนด่าว่าพี่เห็นแก่ตัว ไม่รู้จักแบ่งปัน มีกินก็จะเก็บไว้กินคนเดียว ปล่อยให้คนอื่นอดตาย ไม่สงสารพวกมัน มันพูดงี้ พี่พยายามบอกว่าคนตายอยู่กับคนเป็นไม่ได้หรอก พี่ได้แค่คิดแต่พูดไม่ได้ พี่ว่าจะทำบุญให้มันไปสู่ภพภูมิที่ดี บางช่วงมันก็เอาน้ำเย็นเข้าลูบ มันว่ากลับมาเลี้ยงมันเหมือนเดิมเถอะคนดี อย่าดื้อกับพี่เลย เลี้ยงพี่ดีๆ พี่จะให้โชค”
“พี่จะเอาไงต่อ”
“มันขู่ว่าถ้าพี่ทำเหมือนเดิมมันจะพาพวกมาเยอะกว่านี้ มันบอกว่ามันเป็นเจ้าแห่งผี เป็นโคตรพ่อโคตรแม่ผี มันจะบันดาลความวิบัติมาสู่พี่ถ้าไม่ทำตามบัญชาของมัน”
ผมไม่รู้จริงๆ ว่าใจจริงของเขารู้สึกต่อการตอบโต้ของวิญญาณสัมภเวสีอย่างไร ตอนแรกผมก็หวั่นๆ เหมือนกันว่าผีอาจเล่นงานพี่จนสาหัสเกินเยียวยา หลังจากผ่านคืนนั้นไปพี่ก็อดทนเหมือนเดิม แล้วเขาก็หายหน้าไปสองสามวัน เขาบอกว่าไปอยู่กับเพื่อนสักสองสามวันอ้างว่ากลัวผมรำคาญ ซึ่งไม่จริงเลย ผมจะผลักไสพี่ชายแท้ๆ ที่กำลังทุกข์ร้อนไปได้ยังไง ทว่าเขาก็ยังยืนยันว่าจะไป
เย็นวันหนึ่งเขาก็กลับมาที่ห้องพร้อมกับถุงกับข้าว ผมถามว่านั่นอะไร “ลาบดิบ” วิญญาณที่อยู่ในร่างเขาคงเป็นผีอีสานเป็นแน่
“ผมว่าจะออกไปกินอาหารญี่ปุ่นอยู่พอดี ช่วงนี้ชอบซูชิเป็นพิเศษ ไปกับผมมั้ย ลาบดิบเอาไว้ก่อน”
ส่วนผมคงมีผีญี่ปุ่นติดตามเป็นแน่.
...
พีระยุทธ พลตรี
댓글