Story From Taiwan III
คืนนี้ที่ซีเหมิน
การเดินทางมาไต้หวันครั้งนี้ ผมติดกล้องฟิล์มมาสองตัวเท่านั้น ไม่ได้เอากล้องดิจิตอลมาเลยสักตัว กล้องตัวแรกคือ Leica M6 เลนส์ Cral Zeiss 35 mm ตัวเก่ง อีกตัวคือ Minolta Hi-Matic AF2 เลนส์ 38 mm ในตัว ส่วนฟิล์มผมใช้ Ilford HP5 400 เป็นหลัก เพราะไม่มีเวลาไปหาซื้อฟิล์มสำหรับการท่องเที่ยวควาวนี้เลย เพราะสัปดาห์ก่อนหน้าการเดินทางผมอยู่ในงานมหกรรมหนังสือครั้งที่ 22 แม้ฟิล์มจะซื้อออนไลน์ได้ก็แทบไม่มีเวลาเข้าเวบเลย เพราะจากสามพรานมาศูนย์สิริกิติ์ไปกลับก็แทบไม่มีเวลาพักเลย มีช่วงวันหลังๆ ของทริป ที่ได้ไปซื้อ Kodak Portra 400 จากร้านฟิล์มในไต้หวัน
ที่ไต้หวันมีย่านขายกล้องและอุปกรณ์ ราคาไม่ต่างจากเมืองไทยมากนัก ราคาฟิล์มถูกกว่าเล็กน้อย แล้วถ้าใช้บัตรเครดิตรรูดก็เสียอีกสามเปอร์เซ็นต์ (แต่ราคาฟิล์มบวกแล้วก็ยังถูกกว่านิดหน่อยอยู่ดี)
ภาพถ่ายส่วนใหญ่ในทริปไม่ได้วางแผนการใดๆ เลย เจออะไรก็ถ่ายไปตามเรื่องตามราวเท่าที่จะสามารถถ่ายทอดไต้หวันออกมาได้ แล้วกว่าจะได้ถ่ายภาพอย่างจริงจังก็หลังออกทัวร์ของสมาคมฯในบ่ายวันที่สาม
หลังจากที่เราไปเยี่ยมชมดูงานที่ Readmoo บริษัท E-book ในช่วงเช้าและทาง READMOO รับรองอาหารเที่ยง คณะของสมาคมฯ จะมีเวลาว่างช่วงครึ่งวันบ่ายสำหรับการเดินซื้อของ หรือเที่ยวชม และเตรียมตัวเดินทางกลับ ซึ่งเวลาก็ไม่มากหรอกครับ สักสามสี่ชั่วโมงไม่ใช่เวลาที่มากมายอะไร
ส่วนผม นก และหมู นั้นยืดวันเดินทางกลับออกไปอีก เพื่อการท่องเที่ยว ไหนๆ มาถึงไต้หวันแล้วก็น่าจะมีเวลาเที่ยวมากกว่านี้ ถือเป็นการพักผ่อนหลังกรำงานมหกรรมหนังสือที่แทบจะไม่ได้พัก และยังมาทำงานของสมาคมฯ ต่อด้วย
ช่วงบ่ายของวันที่สาม พวกเราทั้งคณะ ขาดแต่พี่จุ๋ม อุปนายกฯ ที่เดินทางไปส่วนตัว เรากลับไปเดินซีเหมินติงอีกครั้ง เพื่อหาของฝากและรองเท้าผ้าใบที่ผมต้องการ ที่จริงเดินที่ซีเหมินติงในช่วงบ่ายสู้ตอนกลางคืนไม่ได้ ตอนกลางคืนจะคึกคักกว่า นกกับท่านนายกฯ ได้ของฝาก ส่วนผมยังไม่ได้ เรากลับไปที่โรงแรมตอนสี่โมงเย็นเพื่อส่งนายกฯ และคณะเดินทางกลับกรุงเทพฯ ที่หน้าโรงแรม Palais de Chine Hotel โดยมี คุณหลู ชินเจิ้ง นายกฯ สมาคมผู้จัดพิมพ์ไทเปมาส่ง พร้อมมอบชาอู่หลงให้เราเป็นของฝาก เมื่อนายกฯ สุชาดา ขึ้นรถไปสนามบิน ผม หมู และนก ก็ย้ายจากโรงแรมหรูไปนอนโฮสต์แคบๆ 555 จะว่าตกสวรรค์ก็ไม่เชิง แต่เวลาเดินทางกันเองในต่างประเทศเราก็นอนโรงแรมแบบเล็กๆ ครับ เพราะเวลาส่วนใหญ่ก็คือการออกเที่ยว ขอให้นอนสบาย นอนหลับก็พอ โรงแรมใหม่ไม่ไกลจากย่านที่เราอยู่ คือเดินข้ามไปยัง Taipei Station หรือหัวลำโพงแห่งไทเปนี่แหละครับ ที่นี่คือจุดศูนย์กลางของการเดินทางด้วยระบบรางเลยทีเดียว เพราะรวมศูนย์ตั้งแต่ รถไฟใต้ดิน รถไฟ และรถไฟความเร็วสูง ที่มันยอดเยี่ยมมากคือ ไม่ว่าจะรถไฟมาจากที่ไหน มันมุดลงใต้ดินทั้งหมด ด้านบนจึงเป็นห้างสรรพสินค้า ห้องจองตั๋วโดยสาร ข้างใต้เป็นชานชลา เป็นทางเดินเชื่อมไปยังจุดต่างๆ
คุณหลู ชินเจิ้ง ใจดีมาก เดินมาส่งเราที่โรงแรมใหม่ พวกเราลากกระเป๋าขนาดใหญ่ข้ามถนนกันอย่างทุลักทะเล โชคดีที่ คุณหลู ชินเจิ้ง มาด้วย จริงๆ แกพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่แกช่วยพูดกับพนักงานโรงแรมว่าตึกของโรงแรมอยู่ไหน เรียกว่าทั้งภาษาใบ้และภาษามั่วๆ พาเรามาถึง Here There Hostel จนได้ เมื่อเรามาถึงทางขึ้น Hostel เราก็อำลา คุณหลู ชินเจิ้ง และขอบคุณแกมากๆ ที่เดินมาส่ง แล้วนี่ก็เป็นห้วงที่เราออกทัวร์เข้าสู่โหมดการท่องเที่ยวอย่างเต็มที่
เราขึ้นไปที่ Hostel เช็คอินเข้าห้องและพักผ่อนกันเล็กน้อย ตอนค่ำออกไปหาอะไรกินกัน ทั้งนกและหมู เบื่ออาหารจีนกันแล้ว จึงตกลงไปหาร้านเนื้อย่าง นกไปอ่านรีวิวจากคนสิงคโปร์ เป็นอันว่าตอนค่ำเรากลับไปยังย่านซีเหมินติงอีกครั้งเพื่อกินเนื้อย่างจากสถานีรถไฟเราเดินไปทางแยกถนนซ้ายมือ เดินไปจนถึงแยกสตาร์บัคเลี้ยวเข้าไปหน่อยก็จะเป็นตรอกเล็กๆ ระหว่างนั้นเราผ่านร้านกาแฟ ซึ่งน่าซื้อเมล็ดกลับไปมาก แล้วเขาก็โชว์การดริปเย็นด้วยเครื่องแก้วขนาดมหึมา
ร้านเนื้อย่าง NicoNico สไตล์ญี่ปุ่น ปิ้งเตาถ่าน บริการดี เนื้อดี เสิร์ฟด้วยเบียร์คิริน มื้อนี้ถือว่าอิ่มหนำ และจ่ายเงินกันคนละพันบาท ซึ่งคือสั่งผิด(ตอนแรกเข้าใจผิดเรื่องราคาโปรโมชั่น) เลยไม่ได้ช่วยลดราคาอันใดเลยแต่ก็ถือว่าไม่แพงถ้าเทียบกับคุณภาพของอาหาร เราออกจากร้านเนื้อย่าง เพื่อมุ่งตรงไปจุดหมายที่คุณปานบัวเคยแนะนำว่า ถ้ามาไทเปต้องมาร้านนี้
มันคือร้าน BeerBicycle ระหว่างที่เราเดินไปที่ร้านก็พบลานกีฬา ขนาดสักสี่สนามบาสเก็ตบอล มีเด็กๆ มาตั้งกลุ่มซ้อมเต้น เล่นสเก็ตบอร์ด และทำกิจกรรมกัน ผมจึงแวะดูพวกเขา แล้วก็ถ่ายภาพไปเรื่อยๆ โชคดีที่ใช้ฟิล์ม HP5 400 แล้วพุชไปที่ 1600 ทำให้ถ่ายภาพกลางคืนได้ดีพอสมควร หลังจากนั้นก็เดินเข้าไปในย่านโรงหนัง ไม่กี่ช่วงถนนก็ถึงร้าน BeerBicycle แต่ปรากฏว่าร้านปิดสนิท หน้าร้านอยู่ในซอยเล็กๆ แคบๆ ข้างๆ เป็นร้าน Tatto ไม่มีป้าย ไม่มีอะไร นกจึงลองโทร. เข้าไปดูเจ้าของร้านบอกว่าอีกครั้งชั่วโมงถึงจะมาเปิด เราเลยเดินย้อนกลับไปเดินเล่นที่ย่านโรงหนัง แวะดูรองเท้าผ้าใบ ร้านเซ็กซ์ช็อป แล้วก็ร้านเกมแบบ VR ก่อนจะย้อนกลับไปที่ BB
ไปถึงหน้าร้าน ร้านเปิดแล้ว มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนละล้าละลังอยู่ด้านหน้า เราเดินเข้าไป เขาก็ยืนมองไปที่ประตู แมวในร้านทำท่าจะหนีออกมา เขาเลยไม่กล้าเข้า หรืออะไรสักอย่าง เราดูทีท่าแมวตัวนั้น มันอยากจะออกมาข้างนอกจริงๆ เราเลยไม่กล้าผลักประตูเข้าไป เพราะเจ้าของอาจจะกลัวมันหนี แมวเป็นสัตว์ที่เรารู้ว่ามันมีอิสระเต็มที่ที่จะไปแล้วอาจจะไม่กลับมาอีก เราจึงรอให้มันไม่ทำท่าว่าจะพุ่งออกจากประตู เราจึงผลักประตูเข้าไป
ในร้านว่างเปล่าผู้คนนอกจากเรา ของตกแต่งอัดแน่นอยู่ด้านข้างกำแพง และบนชั้น เดาไม่ออกว่าพวกมันมาจากที่ไหนบ้าง จักรยานบรอมพ์ตันหลายคันวางอยู่ เหล้าชั้นดีจากญี่ปุ่นและหลายประเทศ แท็บเบียร์หนึ่งหรือสองแท็บ ขวดเบียร์ทั้งที่มีเบียร์และไม่มี โต๊ะสำหรับรับแขกนับดูแล้วมีเพียงใหญ่ตัวเดียว โซฟาหน้าประตูนั่งได้สักห้าหกคน
สักครู่ชายหนุ่มคนหนึ่งก็เข้ามาพร้อมกัยชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าประตู เขาพูดอะไรกันบางอย่าง ชายหนุ่มคนที่มาทีหลังไปหยิบขวดเหล้าที่เหลือสองในสามขวดมาให้ แล้วเขาก็จากไป ชายหนุ่มคนหลังเดินมาหาเราและแนะนำตัวว่าเขาชื่อเบรนดอน เป็นเจ้าของร้าน เขาซักถามเราว่ารู้จักร้านนี้ได้อย่างไร นกจึงเป็นคนสาธยายให้เขาฟัง จากนั้นเขาก็เริ่มแนะนำตัวว่าที่มาช้าเพราะวันนี้เรียนอยู่ (จิตวิทยา) เขาเคยขี่จักรยานทั่วเอเชียและข้ามไปยุโรปด้วยจักรยาน เขียนหนังสือที่ท่องเที่ยวด้วยจักรยาน และกลับมาเปิดร้านนี้ เพราะรักชอบในเครื่องดื่มเบียร์ และยังมีหนังสือว่าด้วยเรื่องเบียร์อีกหนึ่งเล่ม
ที่เด็ดกว่านั้นคือเขาให้เราชม VR ที่เขาเพิ่งถ่ายแนะนำร้าน เราก็เลยต้องดูกันไปทีละคน ก็ถือว่าเป็นการแนะนำร้านที่ล้ำสมัยมาก
ที่ร้าน BB ไม่มีเมนูเบียร์ เขาจะถามเราว่าชอบอะไรแบบไหน แล้วคิดว่าเขาจะเสิร์ฟเบียร์ให้เราด้วยเบียร์อะไร ซึ่งเราสามคนได้รับเบียร์ที่แตกต่างกัน และดูเหมือนหมูจะชอบเบียร์ชาอู่หลงจากการบอกว่าไม่ชอบเบียร์รสขมไม่ชอบฮ็อป ส่วนผมยังไงก็ปักใจรักพวก IPA เป็นหลัก ส่วนนกได้ทุกรสชาติ
ต้องบอกว่าจุดขายของ BB ก็คือการชวนลูกค้าคุย และเปิดเผยตัวตนกันออกมา เบรนดอนดูเป็นคนชอบสังคม และเขามีความสุขที่ได้พบปะผู้คนใหม่ๆ ที่เข้ามาในร้านของเขา พอตกดึก ดูเหมือนเขาจะอ่อนเพลีย จึงขอนอน แล้วก็หลับลงไปกับพื้นปล่อยให้เราสามคนนั่งดื่มกันเองตามลำพัง นกเริ่มเมาเพราะโดนเบียร์สองชนิดผสมกัน เท่ากับกินไปสองขวดในเวลาเดียวกัน จนดึกอีกหน่อยมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาในร้าน เช่าห้องข้างบนของตึกอยู่ แวะมาหาเบรนดอนเพื่อถามถึงอะไรสักอย่าง แต่เบรนดอนสลบอยู่ เด็กคนนั้นเป็นคนออสเตรเลีย มาเรียนหนังสือ พอเบรนดอนตื่นก็เขาได้สิ่งที่ต้องการก็จากไป ส่วนเบรนดอนถูกเรารบเร้าให้พาชมตึก เขาพาลงไปใต้ดินดูที่เก็บเบียร์ เหล้า เราเห็นมาตรงนั้นมีโต๊ะสำหรับนั่งดื่มด้วย เขาสะสมเบียร์เอาไว้หลายสิบลังเลยทีเดียว จากนั้นเขาก็พาไปชั้นสอง โต๊ะสำหรับเขียนตัวอักษรลงกระดาษด้วยหมึกจีน เขาเริ่มเขียนคำลงในกระดาษ “คืนนี้ที่ซีเหมิน” เขาให้ผมเขียนอะไรต่อ ผมเขียนต่อด้วยภาษาไทยว่า “ราตรีนี้ยังเยาว์” จากนั้นเขาก็หยิบพัดกระดาษ ผมขอให้เขาเขียนคำว่า “คลื่น” คลื่นในทะเล
ผมคิดว่าผมจะเริ่มนิยายด้วยระลอกคลื่นในทะเล จากคลื่นที่ค่อยๆ เคลื่อนตัว อย่างเบาๆ จนโหมกระหน่ำ ผมไม่ได้บอกเขา แค่คิดว่ามันควรเป็นแบบนั้น คลื่นที่เป็นความเงียบ หรืออะไรสักอย่างที่ยังไม่เผยตัว และผมยังไม่ตกผลึกพอที่จะเขียน แต่ผมรู้สึกว่ามันต้องเริ่มจากที่นั่น
ก่อนจากเขาลากไฟแฟลซมาถ่ายรูปพวกเรา เหมือนที่เขาถ่ายทุกคนที่มาในร้าน แต่ภาพของเรายังไม่ปรากฏ แม้ว่าเราจะกลับมาครบเดือนแล้ว คืนนั้นเราลาจากเขา เขาโทร.เรียกแท็กซี่ให้ ค่ำคืนประหลาดจบลงแบบห้วนๆ ในคืนที่เมามาย
コメント